วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

เพื่อที่จะอยู่หน้าสุดในหมู่คน ท่านต้องกลับไปอยู่ข้างหลัง …

แม่น้ำและทะเลเป็นใหญ่เหนือห้วงน้ำทั้งหลาย ด้วยมันวางตนอยู่ในที่ต่ำ สายน้ำใหญ่น้อยจึงไหลมาสู่ ดังนั้นในการขึ้นเป็นใหญ่ในหมู่คน ปราชญ์ย่อมพูดจาถ่อมตน เพื่อที่จะอยู่หน้าสุดในหมู่คน ท่านต้องกลับไปอยู่ข้างหลัง …




นักสู้ที่ดีไม่โกรธง่าย ผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ไม่สู้ในเรื่องเล็กน้อย

ผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่รู้นั้นคือผู้สูงสุด ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้นั้นเต็มไปด้วยอวิชชา


หากราษฎรกลัวความตายจริง เมื่อจับผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยการประหาร
เหตุใดจึงมีผู้กระทำผิดต่อไปอีก
มักจะมีผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการ ทำหน้าที่ตัดสินลงโทษ
อยู่เหนือความเป็นความตายของผู้คน
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งตุลาการ เปรียบได้กับสามัญชนผู้ถือขวานไปตัดต้นไม้แทนช่างไม้ผู้ยิ่งยง
ผู้ที่ถือขวานแทนช่างไม้ ยากนักที่จะหนีพ้น บาดแผลจากคมขวาน



….. ….. ….. …..



คำจริงนั้นฟังดูไม่ไพเราะ คำที่ไพเราะไม่มีความจริง



บทที่ 66 ที่ต่ำ

เต๋านั้นคล้ายกับแม่น้ำใหญ่และทะเลกว้าง แม่น้ำและทะเลเป็นใหญ่เหนือห้วงน้ำทั้งหลาย
ด้วยมันวางตนอยู่ในที่ต่ำ สายน้ำใหญ่น้อยจึงไหลมาสู่ ดังนั้นในการขึ้นเป็นใหญ่ในหมู่คน
ปราชญ์ย่อมพูดจาถ่อมตน เพื่อที่จะอยู่หน้าสุดในหมู่คน ท่านต้องกลับไปอยู่ข้างหลัง
นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมเมื่อปราชญ์อยู่เบื้องบน ประชาชนอยู่เบื้องล่างจึงไม่รู้สึกเป็นภาระหนัก
เมื่อปราชญ์อยู่หน้า ประชาชนก็มิทำร้าย ดังนั้นประชาชน
ทั้งมวลต่างยินดี ที่จะยกปราชญ์ไว้ในที่สูง เคารพยกย่อง ให้เกียรติ
และไม่มีวันถอดถอนท่าน ด้วยเหตุว่าท่านมิได้ไปแข่งขันชิงดีกับผู้ใด
จึงไม่มีใครมาแข่งขันชิงดีกับท่าน


บทที่ 67 แก้วสามประการ

คนทั่วโลกพากันกล่าวว่า " คำสอนเกี่ยวกับเต๋านั้นคล้ายกับสิ่งโง่ๆ มากนัก "
ด้วยเต๋ายิ่งใหญ่แท้เชียว จึงคล้ายกับสิ่งโง่ๆถ้าไม่คล้ายกับสิ่งโง่ๆเต๋าก็คงหมดความยิ่งใหญ่ไปนานแล้ว
ข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่สามประการ ซึ่งข้าพเจ้ายึดถือและสงวนรักษาไว้
ประการแรกคือ ความรัก
ประการที่สองคือ กระทำแต่พอควร
ประการที่สามคือ การไม่เป็นเอกในโลก
ด้วยความรักจึงไร้ความกลัว
ด้วยกระทำแต่พอควร จึงมีความกว้างขวาง
ด้วยการไม่เป็นเอกในโลก จึงอาจเป็นเอกในบรรดาผู้ปกครอง
หากใครละทิ้งความรัก ถือเอาแต่ความกล้า
ละทิ้งความพอควร ถือเอาแต่อำนาจ
ละทิ้งการอยู่หลัง ถือเอาแต่การอยู่หน้า
ชีวิตของเขาจะต้องดับสูญลง
ด้วยอาศัยความรักจึงมีชัยในการจู่โจม
และปลอดภัยในการป้องกัน
อาวุธของสวรรค์คือความรัก ผู้ใช้อาวุธแห่งสวรรค์จะไม่มีวันพินาศ



บทที่ 68 การไม่แข่งขัน

ทหารที่กล้าหาญไม่ดุร้าย นักสู้ที่ดีไม่โกรธง่าย
ผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ไม่สู้ในเรื่องเล็กน้อย
ผู้รู้จักเลือกใช้คนได้ดีย่อมตั้งตนต่ำกว่าผู้อื่น
นี่คือคุณความดีของการไม่แข่งขันช่วงชิง
นี่คือความสามารถในการช่วงใช้คนนำไปสู่สถานะอันสูงส่งเคียงคู่กับฟ้าอันมีมาแต่เก่าก่อน


บทที่ 69 ยุทธธรรม

มีหลักความจริงแห่งยุทธศาสตร์อยู่ว่าข้าพเจ้ามิกล้าจะเป็นผู้เริ่มรุก
ยอมแต่จะเป็นผู้ตั้งรับ มิกล้าคืบหน้าแม้สักนิ้ว แต่ยอมถอยเป็นก้าว
นั่นคือการเดินทัพโดยไม่จัดรูปขบวน ไม่โบกแขนเสื้อสั่งให้รบ
ไม่จู่โจมไปเบื้องหน้า รบคล้ายดั่งไร้ศัตรู ไม่มีภัยใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการดูแคลนข้าศึก
การดูแคลนข้าศึกทำให้สูญเสียทรัพย์ทั้งสาม
ดังนั้นเมื่อกองทัพอันมีแสนยานุภาพ เท่าเทียมกันมาประจันหน้ากัน
กองทัพที่ได้ชัย คือกองทัพที่รู้จักโศกศัลย์


บทที่ 70 ใครอาจเข้าใจ
คำสั่งสอนของข้าพเจ้า ง่ายที่จะเข้าใจและง่ายที่จะปฏิบัติ
แต่ไม่มีใครเสามารถข้าใจ และสามารถปฏิบัติ
ถ้อยคำของข้าพเจ้าย่อมมีหลักเกณฑ์อยู่
ความประพฤติของข้าพเจ้าย่อมมีหลักการอยู่
ด้วยไม่มีใครรู้สิ่งเหล่านี้ จึงไม่มีใครเข้าใจข้าพเจ้า
มีคนเข้าใจข้าพเจ้าน้อยแสนน้อยและข้าพเจ้าก็อยู่เหนือคุณค่าที่อาจให้
ด้วยปราชญ์มักสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบอยู่ภายนอกและประดับหยกเนื้อดีไว้ภายใน


บทที่ 71 ผู้รู้

ผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่รู้นั้นคือผู้สูงสุด
ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้นั้นเต็มไปด้วยอวิชชา
ผู้ที่รู้ว่าอวิชชาคืออวิชชาย่อมหลีกเลี่ยงจากอวิชชา
พ้นปราชญ์นั้นปราศจากอวิชชา
เพราะท่านรู้ว่าอวิชชาคืออวิชชาดังนั้นอวิชชาจึงไม่อาจเข้าครอบงำดวงจิตของท่าน


บทที่ 72 ใช้ความนุ่มนวล

เมื่อประชาราษฎร์ไม่เกรงกลัวการข่มเหงด้วยกำลังอำนาจ
อำนาจอันยิ่งใหญ่ก็ตกอยู่กับพวกเขาแล้วอย่าได้เหยียดหยามชีวิตความเป็นอยู่ของไพร่ฟ้า
อย่าได้รังเกียจเผ่าพันธุ์เชื้อสายของไพร่ฟ้าด้วยท่านมิได้เกลียดชังเขา
ท่านก็จะไม่ถูกเกลียดชังด้วย ดังนั้น ปราชญ์ย่อมรู้ในตน แต่ท่านก็มิได้แสดงออก รักในตน
แต่ก็มิได้สร้างเสริมตัวตนให้สูงขึ้น ปราชญ์ย่อมคัดค้านการข่มเหงด้วยกำลังอำนาจและสนับสนุนการใช้ความนุ่มนวล



บทที่ 73 ร่างแหแห่งฟากฟ้า

ผู้กล้าหาญที่มุทะลุดุดันจะต้องตาย ผู้กล้าหาญที่ไม่บ้าบิ่นจะคงชีวิตอยู่
ในระหว่างสิ่งทั้งสองนี้ บางครั้งเกิดประโยชน์บางครั้งเกิดโทษ หากสวรรค์ชิงชังคนบางคน
ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แม้แต่ปราชญ์ยังถือว่าเป็นปัญหาที่ยากยิ่ง
ทางแห่งเต๋านั้นมีความดีเด่น ในการได้ชัยโดยมิได้ต่อสู้ ได้รับโดยมิต้องพูด
มาหาโดยมิต้องเรียก สำเร็จผลโดยมิต้องวางแผนกระทำ
ร่างแหแห่งฟากฟ้านั้นกว้างใหญ่ไพศาลถึงแม้แหจะมีตาห่าง
แต่เมื่อครอบคลุมสรรพสิ่งอยู่แล้ว ก็ไม่มีอะไรสามารถเล็ดลอดออกไปได้


บทที่ 74 การลงโทษ

ประชาราษฎร์ไม่พรั่นพรึงต่อความตาย เหตุใดจึงพยายามเอาโทษประหารไปสยบ
หากราษฎรกลัวความตายจริง เมื่อจับผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยการประหาร
เหตุใดจึงมีผู้กระทำผิดต่อไปอีก มักจะมีผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการ ทำหน้าที่ตัดสินลงโทษ
อยู่เหนือความเป็นความตายของผู้คน
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งตุลาการ เปรียบได้กับ สามัญชนผู้ถือขวานไปตัดต้นไม้ แทนช่างไม้ผู้ยิ่งยง
ผู้ที่ถือขวานแทนช่างไม้ ยากนักที่จะหนีพ้น บาดแผลจากคมขวาน


บทที่ 75 ไม่เข้ายุ่งเกี่ยว

เมื่อราษฎรอดอยากยากแค้น เพราะผู้ปกครองเก็บภาษีมากเกินไป
ราษฎรที่หิวโหยย่อมไม่อาจปกครองได้
นี่เกิดจากผู้ปกครองเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป ทำให้ปกครองพลเมืองไม่ได้
พลเมืองต่างไม่กลัวความตายเพราะความกระวนกระวายที่จะหาเลี้ยงชีวิต นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่กลัวตาย
ผู้ที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของประชาราษฎร์ เท่ากับช่วยยกระดับชีวิตของราษฎรให้สูงขึ้น


บทที่ 76 ของสูง
เมื่อคนเกิดมาใหม่ๆ นั้นร่างกายมักอ่อนนุ่ม เมื่อตายกลับแข็งกระด้าง
เมื่อสัตว์และพืชมีชีวิตอยู่มันจะอ่อนหยุ่นเมื่อตายมันกลับแข็งและแห้ง
ความแข็งกระด้างเป็นคุณลักษณะของความตาย
ความอ่อนนุ่มเป็นคุณลักษณะของความมีชีวิต
ดังนั้น เมื่อกองทัพแข็งแกร่งเกินไป ก็จะพ่ายในสมรภูมิ
ถ้าต้นไม้แข็งแกร่งเกินไปก็จะถูกตัดโค่นลง ความแข็งความกระด้างเป็นของต่ำ ความอ่อนความนุ่มเป็นของสูง



บทที่ 77 วิถีแห่งเต๋า

วิถีแห่งเต๋านั้น ไม่คล้ายกับคันธนูที่โก่งเตรียมจะยิงหรอกหรือ
ปลายทั้งสองลดต่ำลงมาและตรงกลางพองขึ้นความยาวอันมีพลังนั้นหดสั้น
ความยาวอันไร้พลังนั้นขยายยาว ด้วยหนทางแห่งฟากฟ้าเท่านั้น
ที่นำเอาส่วนเกินจากผู้ที่มีมาก ไปให้กับผู้ที่มีไม่เพียงพอ
แต่หนทางของคนธรรมดาหาเป็นเช่นนั้น
ไม่คนสามัญมักจะชิงเอาจากผู้มีน้อย ไปเพิ่มพูนให้แก่ผู้มีมาก
ผู้ใดเล่าที่มีพอเพียง และแบ่งปันแจกจ่ายให้แก่โลกทั้งโลก
มีเพียงแต่บุคคลผู้ดำเนินตามวิถีแห่งเต๋าเท่านั้น
ดังนั้นปราชญ์ย่อมกระทำกิจแต่ไม่เข้าครอบครอง
ก่อเกิดผลสำเร็จแต่ไม่ต้องการความเชื่อถือ ด้วยท่านไม่ปรารถนาเป็นผู้เด่นยิ่งกว่าใครๆ


บทที่ 78 ความอ่อนโยนมีชัยต่อทุกสิ่ง

ไม่มีสิ่งใดจะอ่อนนุ่มไปกว่าน้ำ
แต่ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งไปกว่าน้ำ ในการมีชัยเหนือสิ่งที่แข็ง
นับว่าไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบ ไ
ม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทน ความอ่อนแอมีชัยต่อความแข็งแรง
ความอ่อนโยนมีชัยต่อความแข็งกระด้าง ไม่มีใครที่ไม่รู้ แต่ไม่มีใครที่ปฏิบัติ
ดังนั้นปราชญ์จึงกล่าวไว้ว่า ผู้ที่สามารถทนรับการใส่ร้ายของโลกได้
สมควรที่จะเป็นผู้ดูแลรักษาอาณาจักร
ที่ทนแบกรับบาปโทษของโลกไว้ได้ สมควรเป็นกษัตริย์ปกครองโลก
คำพูดที่ตรงไปตรงมานั้นดูคล้ายเป็นคำที่บิดเบี้ยวและเป็นคำเท็จ



บทที่ 79 หนทางอันยุติธรรม

เมื่อความโกรธขึ้งถูกไกล่เกลี่ยลงได้ แน่ใจได้ว่ายังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่
ดังนี้ จะนับได้ว่ามันจบสิ้นลง ด้วยความดีได้อย่างไร
ดังนั้นปราชญ์ย่อมเป็นผู้อ่อนข้อให้ ในการเจรจาทำความตกลงและจะไม่ยอมเป็น
ผู้เอาเปรียบในการทำสัญญา หนทางของผู้มีคุณ
ความดีคือการเจรจาตกลง หนทางของผู้ไร้คุณความดีคือการบังคับขู่เข็ญ
หนทางแห่งเต๋านั้นยุติธรรมยิ่ง มันจะอยู่เคียงข้างของผู้ที่มีความดีงาม


บทที่ 80 ประเทศในฝัน

หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อย
มีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมือง มากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่า
ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิต
และไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกล ถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่
ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธ ก็ไม่มีโอกาสจะใช้ ใ
ห้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือ
ให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆ นั้นโอชะ
เสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงาม
บ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบาย
ประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชม
ในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้าน
และตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย


บทที่ 81 ถ้อยคำที่แท้

คำจริงนั้นฟังดูไม่ไพเราะ คำที่ไพเราะไม่มีความจริง
คนดีไม่ได้พิสูจน์โดยการถกเถียง
คนที่ถกเถียงเก่งไม่ใช่คนดี
คนฉลาดไม่รู้มาก
คนที่รู้มากไม่ฉลาด
ปราชญ์ย่อมไม่สะสมเพิ่มพูนเพื่อตนเอง
ชีวิตของท่านมีอยู่เพื่อผู้อื่นแต่ท่านกลับยิ่งร่ำรวยขึ้น
ท่านให้บริจาคแก่ผู้อื่น แต่ท่านยิ่งมีขึ้นทับทวี
วิถีแห่งเต๋านั้น มีแต่คุณไม่เคยให้โทษ
วิถีแห่งปราชญ์นั้น มีแต่กอปรกิจให้สำเร็จ โดยไม่แก่งแย่งแข่งขัน

ไม่มีหายนะใดยิ่งใหญ่กว่า...ความไม่รู้จักพอ (บทที่ 45 - 65)

ไม่มีหายนะใดยิ่งใหญ่กว่าความไม่รู้จักพอ ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่กว่าความโลภข้อห้ามยิ่งมาก ประชาราษฎร์ยิ่งยากจน อาวุธยิ่งแหลมคม ประเทศยิ่งวุ่นวายสับสน… … … …พยายามค้นหาคนชั่วและให้อภัย… … … …จัดการกับสิ่งที่ยุ่งยากขณะที่ยังง่าย จัดการกับสิ่งที่ใหญ่ขณะที่ยังเล็ก (บทที่ 45 - 65)


บทที่ 46 ม้าลากเกวียน

เมื่อโลกดำเนินไปตามหนทางแห่งเต๋า ม้าฝีเท้าจัดก็ถูกนำมาใช้ลากเกวียน เมื่อโลกมิได้ดำเนินไปตามหนทางแห่งเต๋า ม้าศึกก็ถูกขับขี่ลาดตระเวนอยู่นอกเมือง ไม่มีหายนะใดยิ่งใหญ่กว่าความไม่รู้จักพอ ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่กว่าความโลภ ดังนั้น สำหรับผู้ที่รู้จักพอ ความพอนั้นจะทำให้มีพอไปตลอดชีวิต



บทที่ 47 หยั่งรู้

โดยมิได้ย่างก้าวออกนอกประตู ก็อาจรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก
โดยมิได้มองออกนอกหน้าต่าง ก็อาจเห็นเต๋าแห่งสรวงสวรรค์
ยิ่งเดินทางแสวงหาไกลออกไปเท่าใด ยิ่งรู้น้อยลงเท่านั้น
ดังนั้นปราชญ์.. อาจรู้โดยมิต้องเดินทาง
อาจเข้าใจ...โดยมิต้องมองเห็น อาจสัมฤทธิ์ผลโดยมิต้องกระทำ



บทที่ 48 ความรู้ฝ่ายเต๋า

ผู้ศึกษาความรู้ฝ่ายโลก ก็จะได้เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
ผู้ศึกษาความรู้ฝ่ายเต๋า ก็จะสูญหายลดน้อยลงทุกวัน
ลดหายไป ลดหายไป จนถึงภาวะแห่งการไม่กระทำ
และโดยภาวะแห่งการไม่กระทำนี้เอง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ถูกทำขึ้น และสำเร็จเรียบร้อยลง
ผู้เป็นหลักแห่งโลก ประกอบกรณียะโดยการไม่กระทำ
แต่หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยก็จะไม่มีการใดสำเร็จผลลงได้เลย



บทที่ 49 ปราชญ์

ปราชญ์มิได้ใส่ใจในตน ท่านถือเอาผู้อื่นเปรียบประดุจตัวท่าน
กับคนดีข้าพเจ้าก็ทำดีด้วย กับคนชั่วข้าพเจ้าก็ทำดีด้วย
ทั้งนี้เพื่อให้เขาเปลี่ยนเป็นคนดี กับคนมีสัจจะข้าพเจ้าก็เชื่อถือ
กับคนไร้สัจจะข้าพเจ้าก็ยังเชื่อถือ ทั้งนี้เพื่อให้เขาเปลี่ยนเป็นคนมีสัจจะ
ปราชญ์อยู่ในโลกอย่างสงบกลมกลืน มีใจกรุณาต่อทุกผู้คน คนในโลกก็จะมีน้ำใจดีงาม
ท่านดูแลประชาชนเหมือนดังบุตรของตน


บทที่ 50 อาณาจักรแห่งความตาย

เมื่อมนุษย์ก้าวผ่านพ้นชีวิต เขาก็ย่างก้าวไปสู่ความตาย อวัยวะแห่งชีวิตมีอยู่สิบสาม
อวัยวะแห่งความตายก็มีอยู่สิบสามเช่นกัน และสิ่งที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้
ก็คืออวัยวะทั้งสิบสามนี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะความพยายามอย่างแรงกล้า ที่จะรักษาชีวิตไว้นั่นเอง
มีคำกล่าวว่าผู้ที่รู้จักรักษาชีวิตของตนนั้น เมื่อเดินทางอยู่บนแผ่นดินจะไม่พบแรดหรือเสือ
เมื่ออยู่ในสนามรบจะไม่บาดเจ็บด้วยอาวุธร้าย นอของแรด เล็บของเสือ คมของอาวุธ
ไม่อาจแผ้วพานเขาได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เหตุว่าเขาได้หลุดพ้น จากอาณาจักรแห่งความตายแล้ว



บทที่ 51 คุณความดีอันล้ำลึก

เต๋าให้กำเนิดแก่สรรพสิ่ง คุณธรรมให้การบำรุงเลี้ยง วัตถุธาตุให้รูปทรง สิ่งแวดล้อมช่วยทำให้สมบูรณ์ดังนั้นสรรพสิ่งในสกลจักรวาล จึงเทิดทูนเต๋าและยกย่องคุณธรรม เต๋าได้รับการเทิดทูนและคุณธรรมได้รับการยกย่อง มิใช่ด้วยการบังคับขู่เข็ญของผู้ใด แต่เป็นไปด้วยตนเอง เต๋าให้กำเนิด คุณธรรมให้การบำรุงเลี้ยง ทำให้สรรพสิ่งเติบโตแผ่ขยาย ให้สถานที่พักอาศัย เลี้ยงดู และปกปักรักษา ให้กำเนิดแต่มิได้ครอบครอง บำรุงเลี้ยงแต่มิได้ถือเป็นความดี มีความยิ่งใหญ่แต่มิได้เข้าบังคับบัญชา นี่คือคุณความดีอันล้ำลึก



บทที่ 52 ปิดประตูแห่งตน

มีต้นกำเนิดแห่งจักรวาล อันอาจถือได้ว่าเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง
จากต้นกำเนิดนี้เราก็อาจรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็สามารถสงวนรักษาต้นกำเนิดไว้ได้
ดังนั้นตลอดชีวิตของผู้ที่ปฏิบัติดังนี้ ย่อมรอดพ้นจากภัยทั้งปวง กั้นช่องว่างรอยโหว่แห่งตน
ปิดประตูแห่งตน ตลอดชีวิตจะไม่พบกับความยุ่งยาก เปิดช่องว่างแห่งตน
วุ่นวายอยู่กับกิจธุระการงานตลอดชีวิตไม่มีทางรื้อฟื้นคืนดี
ผู้ที่อาจแลเห็นสิ่งเล็กน้อยได้ เรียกว่ามีสายตาแหลมคม
ผู้ที่รักษาความอ่อนโยนไว้ได้ เรียกว่ามีความแข็งแกร่ง
ใช้แสงสว่างภายนอก สาดส่องเข้าไปจนถึงความเห็นแจ้งภายใน
นี่จึงช่วยให้พ้นจากหายนะ และนี่จึงอาจเรียกว่า " การดำเนินตามวิถีแห่งเต๋าอันอมตะ "



บทที่ 57 การปกครอง

ปกครองอาณาจักรด้วยธรรม ทำศึกด้วยเพทุบาย มีชัยต่อโลกโดยการไม่กระทำ เหตุใดข้าพเจ้าจึงทราบดังนี้ จากสิ่งเหล่านี้คือ ข้อห้ามยิ่งมาก ประชาราษฎร์ยิ่งยากจน อาวุธยิ่งแหลมคม ประเทศยิ่งวุ่นวายสับสน วิทยาการยิ่งมีมาก สิ่งประดิษฐ์ยิ่งแปลกประหลาด กฎหมายยิ่งมีมาก โจรผู้ร้ายยิ่ง ชุกชุมดังนั้นปราชญ์จึงกล่าวไว้ว่า " ข้าพเจ้ามิได้กระทำ ราษฎรก็ปรับปรุงตนเอง ข้าพเจ้าตั้งตนในความสงบ ราษฎร ก็ประพฤติตนถูกต้อง ข้าพเจ้าไม่เข้ายุ่งเกี่ยว ราษฎรก็ร่ำรวย ข้าพเจ้าไร้ความทะยานอยาก ราษฎรก็มีความสามัญและซื่อสัตย์ "



บทที่ 58 รัฐบาลที่เกียจคร้าน

เมื่อรัฐบาลเกียจคร้านและโง่เขลา ราษฎรก็มีความสุขและรุ่งเรือง เมื่อรัฐบาลฉลาดและเข้มงวด
ราษฎรจะไม่ได้รับความพอใจ และความสงบสุข หายนะคือหนทางของโชคลาภ
โชคลาภคือสิ่งปกปิดของหายนะ ใครจะรู้ผลในบั้นปลายของมัน เพราะมันไม่เคยมีหลักที่แน่นอน
ใครจะรู้ถึงคุณลักษณะของรัฐบาลที่ดี อาจเป็นได้ด้วยการไม่เข้ายุ่งเกี่ยวขัดขวาง มิฉะนั้นธรรมะก็จะกลายเป็นเล่ห์ลวง ความดีก็จะกลายเป็นความชั่ว ผู้คนโง่งมในสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว
ถึงแม้ปราชญ์จะมีหลักการที่มั่นคง ท่านก็มิได้เที่ยวฟาดฟันผู้อื่น มีความถูกต้องดีงาม แต่ก็มิได้ข่มผู้อื่น มีความชาญฉลาด แต่ก็มิได้ต้อนผู้อื่นให้อับจน



บทที่ 59 หลักการสงวนกำลัง

ในการบริหารกิจการบ้านเมือง ไม่มีหลักการบริหารใดดีไปกว่าการสงวนกำลังสงวนกำลังไว้เท่ากับเตรียมตัวพร้อมก่อน เตรียมตัวพร้อมก่อนเท่ากับเพิ่มพูนความเข้มแข็งเพิ่มพูนความเข้าแข็งเท่ากับได้ชัยตลอดกาล ได้ชัยตลอดกาลจึงมีความสามารถอันสุดหยั่งคาด
มีความสามารถสุดหยั่งคาดจึงเหมาะที่จะปกครองประเทศ และหลักแห่งการบริหารประเทศนี้ย่อมยืนนาน นี่คือรากฐานอันมั่นคง เป็นพละกำลังอันกล้าแข็ง เป็นหนทางไปสู่ความยั่งยืนและอมตะ




บทที่ 60 ปกครองประเทศ


ปกครองประเทศใหญ่เหมือนทอดปลาตัวน้อย พิถีพิถันระมัดระวังแต่ไม่จำเป็นต้องนานไม่จำเป็นต้องทอดนานปลาก็สุกได้ที่ ทอดปลาตัวน้อยจึงเป็นหลักในการปกครองประเทศใหญ่
ปกครองอาณาจักรด้วยหลักแห่งเต๋า สิ่งชั่วร้ายจะไม่สำแดงอิทธิฤทธิ์มิใช่ว่าอำนาจของสิ่งชั่วร้ายนั้นหมดสูญ แต่เป็นด้วยอำนาจนั้นไม่อาจทำร้ายผู้คนได้อีก
ปราชญ์ก็เช่นกันมิได้ทำร้ายผู้คน ไม่มีใครทำร้ายใคร กระแสธารแห่งคุณความดีก็ไหลหลั่งท่วมท้น



บทที่ 61 ประเทศใหญ่

ประเทศใหญ่ควรเป็นเหมือน ตอนปลายของแม่น้ำใหญ่ อันตั้งอยู่ในที่ต่ำ
ที่ซึ่งสายน้ำเล็กๆไหลมารวมกัน เป็นที่รวมของหมู่ชนในโลก เป็นสตรีเพศของโลก
สตรีมีชัยเหนือบุรุษด้วยอาศัยความสงบ และบรรลุผลด้วยความสงบและความต่ำต้อย
ดังนั้นถ้าประเทศใหญ่ถ่อมตนต่อประเทศเล็ก การถ่อมตนนั่นเองจึงทำให้เหนือกว่า
ผู้วางตนต่ำจึงอาจเข้าครอบครอง ถ้าประเทศเล็กถ่อมตนต่อประเทศใหญ่
ประเทศเล็กก็อาจเข้าครอบครอง มีบ้างเพื่อวางตนต่ำกว่าเพื่อจะได้เข้าครอบครอง
มีบ้างที่ต่ำอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และก็ได้ครอบครองโดยธรรมชาติ
สิ่งที่ประเทศใหญ่ต้องการ คือการเข้าปกป้องประเทศอื่น สิ่งที่ประเทศเล็กต้องการ
คือการเข้าอยู่ภายใต้การปกป้อง พิจารณาดูแล้วทั้งสองก็ได้ตามที่ตนปรารถนา
มีลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน อันเกิดจากความต้องการภายใน มิได้ใช้กำลังบังคับข่มขืน
เป็นผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นประเทศใหญ่จึงควรตั้งตนไว้ในที่ต่ำ


บทที่ 62 สมบัติของโลก

เต๋าเป็นความลึกลับยิ่งของจักรวาล
เป็นสมบัติของคนดี เป็นที่พักพิงของคนชั่ว
ถ้อยคำของกวีอาจขายได้ที่ตลาด
ความประพฤติอันสูงส่งอาจให้เป็นกำนัล
แม้จะมีคนชั่วอยู่บ้าง เหตุใดต้องไปขับไล่ไสส่ง
ในพิธีขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิ
ในพิธีแต่งตั้งเสนาบดีทั้งสามตำแหน่ง แทนที่จะส่งหยก และรถเทียมม้าสี่ไปให้เป็นบรรณาการ
ส่งเต๋าไปให้เป็นบรรณาการจะดีกว่า
เพราะเป็นสิ่งที่โบราณพากันภาคภูมิใจ
มีคำโบราณได้กล่าวไว้ว่า...
...พยายามค้นหาคนชั่วและให้อภัย ดังนั้นเต๋าจึงอาจนับได้ว่าเป็นสมบัติของโลก


บทที่ 63 ยากกับง่าย

ทำด้วยการไม่กระทำ
ดูแลด้วยการไม่ดูแล
ลิ้มรสด้วยการไม่ลิ้มรส
ถือที่เล็กเสมือนใหญ่
ถือที่น้อยเสมือนมาก
ตอบแทนความชั่วด้วยความดี
จัดการกับสิ่งที่ยุ่งยากขณะที่ยังง่าย
จัดการกับสิ่งที่ใหญ่ขณะที่ยังเล็ก
ปัญหาที่แก้ยากของโลก จะต้องแก้ไขขณะที่ยังง่ายอยู่
ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของโลก จะต้องแก้ไขขณะที่ยังเล็กอยู่
ดังนั้น การที่ปราชญ์ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานใหญ่ งานอันยิ่งใหญ่ก็สำเร็จลง
ผู้ให้คำสัตย์สาบานง่ายดายเกินไป ยากนักที่จะรักษาคำมั่นสัญญานั้น
ผู้ที่มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างว่าง่าย จะพบความยากลำบากเมื่อภายหลัง
ดังนั้นปราชญ์จึงพิเคราะห์สิ่งต่างๆ ว่ายากลำบาก
และด้วยเหตุนั้นท่านจึงมิได้รับความยากลำบากใดๆ เลย



บทที่ 64 เริ่มทำเมื่อยังง่าย

สิ่งที่อยู่นิ่ง ง่ายที่จะเก็บรักษาไว้ สิ่งที่ยังไม่เกิด ง่ายที่จะป้องกัน
สิ่งที่อ่อนนุ่ม ง่ายที่จะฉีกขาด สิ่งที่บางเบา ง่ายที่จะปลิวฟุ้ง
จัดการก่อนที่เหตุจะเกิด จัดระเบียบก่อนที่จะยุ่งเหยิง
ไม้ใหญ่เต็มโอบเริ่มจากหน่อเล็ก เก๋งสูงเก้าชั้นเริ่มจากก้อนดิน
ทางไกลพันลี้เริ่มจากการเดินหนึ่งก้าว
ผู้ที่ทำจะล้มเหลว ผู้ที่จับยึด จะลื่นหลุด
ด้วยปราชญ์มิได้กระทำ จึงไม่ล้มเหลว
มิได้จับยึด จึงไม่ลื่นหลุด
กิจการงานของผู้คนมักจะล้มเหลวเมื่อใกล้สำเร็จ
ด้วยการใช้ความระมัดระวังในตอนท้าย ให้เท่ากับเริ่มแรกความล้มเหลวย่อมจะไม่เกิดขึ้น

ดังนั้น...ปราชญ์ย่อมปรารถนาในสิ่งที่คนอื่นไม่พึงปรารถนา
และไม่ให้คุณค่าแก่จุดหมายที่บรรลุได้ยาก เรียนรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นมิได้รู้
รื้อฟื้นในสิ่งที่คนมากมายได้หลงลืม ท่านได้ช่วยทำให้ทุกสิ่งเติบโตและเป็นไปตามธรรมชาติ
แต่มิได้หาญเข้ายุ่งเกี่ยวกับกฎธรรมชาติ



บทที่ 65 รู้ให้น้อย

แต่โบราณมาผู้ที่หยั่งรู้เต๋า มิได้มุ่งหมายที่จะส่งเสริมคนให้รู้มาก
แต่ปล่อยให้จมอยู่กับความโง่งม รู้อยู่แต่สิ่งพื้นๆ และสามัญ
หากประชาราษฎร์รู้มากเกินไปก็ปกครองยาก
ผู้ที่พยายามจะปกครองประเทศด้วยความรอบรู้ มีแต่จะนำความหายนะมาสู่
ผู้ที่ไม่พยายามจะปกครองประเทศด้วยความรอบรู้มีแต่จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่
ผู้ใดรู้หลักทั้งสองนี้ ย่อมรู้ถึงหลักการแต่โบราณ
รักษาหลักการนี้ไว้ในใจ ย่อมได้รับคุณความดีอันใหญ่หลวง
คุณความดีนั้นสุดที่จะกว้างและลึก
ใสสะอาดและยากที่จะไปถึงมันวกกลับไปสู่ต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง
ก่อให้เกิดความประสานกลมกลืนอันไม่มีสิ้นสุด



หมายเหตุ ปัจจุบัน คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” มีอิทธิพลต่อในทุกสังคมทั่วโลก ทั้งในด้านการเมืองการปกครอง กฎหมาย ธุรกิจ และการครองเรือน มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 250 สำนวน สำหรับ วิถีแห่งเต๋า ฉบับนี้เป็นคำแปลของคุณ พจนา จันทรสันติ ที่แปลจากภาษาอังกฤษผนวกกับความรู้ของผู้แปล ทำให้ได้ใจความสวยคม เข้าใจง่ายและอ่านรู้เรื่องที่สุด หนังสือวิถีแห่งเต๋าตอนนี้หาซื้อยากแล้วค่ะ โชคดี หากเจอใน pantown.com โดยคุณ: เซโร่ [23 พ.ค. 51 8:33] ได้กรุณารวบรวมมาโพสต์ไว้เพื่อประโยชน์แพร่หลาย ขอขอบคุณอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ค่ะ






credit : วิถีแห่งเต๋า แปลโดย พจนา จันทรสันติ


: pantown.com

(บทที่ 26 – 45) ...คนดีจึงเป็นครูของคนชั่ว ... คนชั่วจึงเป็นอุทธาหรณ์ของคนดี

ในท่ามกลางความไม่มั่นคง ความหนักแน่นก็สูญสลายไป

ในท่ามกลางความรีบเร่ง ความสงบก็สูญสลายไป...
ดังนั้นคนดีจึงเป็นครูของคนชั่ว ... คนชั่วจึงเป็นอุทธาหรณ์ของคนดี
ความง่ายนั้นเหมือนกับไม้ที่ยังมิได้แกะสลัก ...ไม่เข้าไปครอบครอง จึงมิได้สูญเสีย

ผู้ที่รู้จักเพียงพอ จะไม่พบกับความอัปยศ ...
ผู้ที่รู้จักหยุดในเวลาที่เหมาะสม...จะไม่ตกอยู่ในภยันตราย
เขาจึงมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน

... ... ... ...

(บทที่ 26 – 45)

บทที่ 26 ความหนักแน่นและความสงบ
ความหนักแน่นเป็นรากฐานแห่งความไม่มั่นคง ความสงบเป็นนายของความรีบเร่งลนลาน
ดังนั้นปราชญ์จึงเดินทางไปตลอดวัน โดยไม่เคยละทิ้งรถเสบียง
อันบรรจุความหนักแน่นและความสงบอยู่จนเปี่ยมล้น
ในท่ามกลางเกียรติศักดิ์และความรุ่งโรจน์ ท่านก็สามารถอยู่อย่างสงบโดยไม่ถูกรบกวน
ทำอย่างไรจึงจะทำให้จักรพรรดิผู้ปกครองประเทศ หันมาใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งปราชญ์นี้
ในท่ามกลางความไม่มั่นคง ความหนักแน่นก็สูญสลายไป ในท่ามกลางความรีบเร่ง ความสงบก็สูญสลายไป


บทที่ 27 ช่วยสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน

นักเดินทางที่ดีไม่ทิ้งร่องรอย
นักพูดที่ดีไม่มีข้อผิดพลาด
นักคำนวณที่ดีไม่ต้องใช้ไม้ติ้ว
บานประตูที่ดีไม่ต้องใช้สลักใช้กลอน
แม้กระนั้นก็ไม่สามารถเปิดออก
เงื่อนปมที่ดีไม่ต้องใช้เชือกมาผูก
แม้กระนั้นก็ไม่สามารถแก้ออก
ดังนั้น ปราชญ์จึงมีความดีในการช่วยเหลือผู้คน
ไม่มีใครเลยที่ถูกท่านปฏิเสธ
ท่านมีความดีในการบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่ง
ไม่มีสรรพสิ่งใดเลยที่ถูกท่านปฏิเสธ
นี่จึงเรียกว่าท่านเป็นผู้รู้แจ้ง
ดังนั้น คนดีจึงเป็นครูของคนชั่ว
คนชั่วจึงเป็นอุทธาหรณ์ของคนดี
คนใดไม่เคารพนอบน้อมต่อผู้ที่เป็นครู
หรือคนใดไม่มีความรักต่อผู้ที่เป็นอุทธาหรณ์
ถึงแม้จะมีความรอบรู้สักเพียงใด
ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้หลงทางผิด นี่คือความจริงอันล้ำลึกยิ่ง


บทที่ 28 แสดงออกด้วยความง่าย

ผู้มีความเข้มแข็ง แต่แสดงออกด้วยความอ่อนโยน
ก็จะกลายเป็นลำธารของโลก การเป็นลำธารของโลก
ก็จะได้รับทิพยอำนาจอันไม่มีสิ้นสุด และกลับไปสู่สภาวะทารกอันไร้เดียงสา
ผู้มีความรู้กระจ่างดั่งสีขาว แต่แสดงออกด้วยความคลุมเครือดั่งสีดำ
ก็จะกลายเป็นแบบอย่างของโลก การเป็นแบบอย่างของโลก
ก็จะได้รับทิพยอำนาจอันไม่มีสิ้นสุด และกลับไปสู่สภาวะอันสูงเยี่ยม
ผู้มีเกียรติและความรุ่งเรือง แต่แสดงออกด้วยความถ่อมตน
ก็จะกลายเป็นหุบเขาของโลก การเป็นหุบเขาของโลก
ก็จะได้รับทิพยอำนาจอันไม่มีสิ้นสุด และกลับไปสู่ความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ดังอดีต
ความง่ายนั้นเหมือนกับไม้ที่ยังมิได้แกะสลัก เมื่อนำมาสลักเสลาก็จะกลายเป็นภาชนะอันมีประโยชน์
เมื่อปราชญ์รับอาสาเข้าปฏิบัติภารกิจ ท่านจะเป็นเอกในหมู่เสนาบดี มหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ จะไม่มีวันถูกโค่นล้ม


บทที่ 29 ใครจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลก

มีบางคนที่จะคิดยึดครองโลก และจัดการเปลี่ยนแปลงไปตามที่ตนปรารถนา
ข้าพเจ้าทราบดีว่าเขาคงทำไม่สำเร็จเป็นแน่
ด้วยโลกนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวบิดเบือน
ผู้ที่พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่ากับทำลายมัน
ผู้ที่พยายามเข้าครอบครองจะต้องสูญเสีย ดังนั้นปราชญ์ย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ท่านจึงมิได้ทำลายมัน ไม่เข้าไปครอบครอง จึงมิได้สูญเสีย
มีบ้างบางคนชอบไปข้างหน้า บางคนติดตามมาข้างหลัง
บ้างชอบร้อน บ้างชอบหนาว บ้างแข็งแรง บ้างอ่อนแอ บ้างเฟื่องฟู บ้างตกต่ำ
ดังนั้นปราชญ์ย่อมละทิ้งความเกินเลย ละทิ้งความฟุ่มเฟือย ละทิ้งความผยองลำพอง


บทที่ 30 สงคราม

ผู้ที่รู้เต๋าและประสงค์จะเข้ามาช่วยเหลือกิจการบ้านเมือง
จะต้องคัดค้านการพิชิตด้วยกำลังทหาร
เพราะสิ่งนี้จะได้รับการตอบแทน
ยกทัพไปรุกรานผู้อื่น ก็จะถูกผู้อื่นยกทัพมากระทำตอบ
เมื่อกองทัพยกไปถึงที่ใด ดินแดนนั้นก็จะเต็มไปด้วยหญ้าและพงหนาม
เมื่อยกทัพใหญ่ไป สิ่งที่จะตามมาก็คือช่วงเวลาแห่งความขาดแคลน
ความยากแค้น และความอดอยาก

ดังนั้นเมื่อขุนพลทำการรบสำเร็จผลก็หยุดยั้ง
มิกล้าที่จะพึ่งพาความเข้มแข็งของกำลังทัพ
สำเร็จผลแล้ว...ไม่ถือว่ารุ่งโรจน์
สำเร็จผลแล้ว...ไม่โอ้อวด
สำเร็จผลแล้ว...ไม่ลำพอง ...
ความสำเร็จผลนั้นถือว่าเป็นความจำเป็นอันน่าโศกเศร้า
ความสำเร็จผลนั้นเกิดขึ้นมิใช่ด้วยนิยมในความรุนแรง
เมื่อมีเวลารุ่งโรจน์ก็มีเวลาตกต่ำ
ด้วยความรุนแรงนี้ขัดกับเต๋า ผู้ที่ขัดกับเต๋าจะจบสิ้นไปโดยเร็ว



บทที่ 31 ชัยชนะอันน่าโศกเศร้า

ศัตราวุธนั้นแม้จะมีลวดลายสวยงาม แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่สุด
ผู้คนต่างเกลียดชังมัน ดังนั้น ผู้มีศาสนธรรมย่อมหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธ
บุคคลผู้เจริญนิยมด้านซ้ายว่าเป็นด้านแห่งสวัสดิมงคลแต่ในพิธีการ
ทางการทหารนิยมทางด้านขวา อาวุธนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย หาใช่เป็น
สิ่งที่บุคคลผู้เจริญสมควรใช้ไม่ เมื่อมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ทางออกที่ดีที่สุดคือตั้งตนอยู่ในความสงบแม้ชัยชนะในการรบก็มิอาจนับว่าเป็นสิ่งดีงาม
และผู้ที่คิดว่ามันเป็นสิ่งดีงาม
คือผู้ที่ชื่นชอบในการฆ่าฟัน ผู้ที่ชื่นชอบในการฆ่าฟัน
จะไม่ได้รับความสมปรารถนาใดๆ เลยภายใต้แผ่นฟ้าถือกันว่าสวัสดิมงคลนั้นอยู่ข้างซ้าย
ถือกันว่าอัปมงคลนั้นอยู่ข้างขวา รองแม่ทัพจึงยืนอยู่ด้านซ้าย
แม่ทัพจึงยืนอยู่ด้านขวา นี่อาจกล่าวได้ว่าการรบเป็นพิธีของงานศพ
การล้างผลาญคนเป็นจำนวนมากมาย ย่อมนำมาซึ่งการคร่ำครวญและโศกสลด
แม้ชัยชนะนั้นก็ต้องเฉลิมฉลองด้วยพิธีศพ


บทที่ 32 มหาสมุทรแห่งสรรพสิ่งเต๋าอันสูงสุดนั้นไร้ชื่อ ท่อนไม้อันยังมิได้สลักเสลา
ก็จะไม่มีใครนำเอาไปใช้เป็นภาชนะได้
หากกษัตริย์และขุนนาง สามารถรักษาความเป็นธรรมชาติอย่างง่าย ๆ นี้ไว้ได้
โลกทั้งโลกก็จะมานอบน้อมต่อท่าน
เมื่อฟ้าและดินเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน สายฝนอันชื่นฉ่ำก็ตกลงมา
อยู่เหนือการบังคับบัญชาของทุกสิ่ง
เมื่ออารยธรรมของมนุษย์เกิดขึ้น ชื่อสำหรับใช้เรียกสิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นด้วยและมีมาตั้งแต่นั้น
พึงรู้ว่าเมื่อใดถึงเวลาควรหยุด
หยุดอะไรเล่า หยุดความวุ่นวายความสับสน
หยุดความยุ่งยากซับซ้อน หยุดความเปรื่องปราชญ์
หยุดความเจริญในทางโลก ผู้ที่รู้ว่าเมื่อใดควรหยุด
ก็จะรอดพ้นจากภัยทั้งสิ้น เต๋านั้นอาจเปรียบได้กับแม่น้ำทั้งหลาย
อันไหลไปรวมกัน ณ ท้องมหาสมุทร


บทที่ 33 รู้จักตนเอง

ผู้ที่เข้าใจผู้อื่นคือผู้รอบรู้
ผู้ที่เข้าใจตนเองคือผู้รู้แจ้ง
ผู้ที่มีชัยต่อคนอื่นคือผู้มีกำลัง
ผู้ที่มีชัยต่อตนเองคือผู้เข้มแข็ง
ผู้ที่มักน้อยคือผู้ร่ำรวย
ผู้ที่มานะพยายามคือผู้มีความหวัง
ผู้ที่อยู่ในสถานะอันเหมาะสมของตน
ย่อมอยู่ได้ยาวนาน ถึงแม้ผู้นั้นจะสิ้นชีวิตไปแล้ว
แต่คุณความดียังคงอยู่สืบไป


บทที่ 34 เต๋าอันยิ่งใหญ่

เต๋าอันยิ่งใหญ่นั้นไหลบ่าท่วมท้นไปทุกแห่งหน
เหมือนกับสายน้ำอาจไหลไปทางซ้ายหรือทางขวา
สรรพสิ่งอุบัติขึ้นจากเต๋า จึงไม่มีสิ่งใดอาจฝ่าฝืนเต๋าได้
เมื่องานของเต๋าสำเร็จลุล่วงลง ก็มิได้เข้าครอบครอง
เต๋าถนอมและบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่ง แต่มิได้ตั้งตนเป็นเจ้าของ
การดูแลของเต๋าปราศจากกิเลสตัณหา ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเต๋าเป็นสิ่งเล็ก
และจากการเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสิ่ง ก็อาจกล่าวได้อีกว่าเต๋าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ด้วยเหตุที่เต๋าไม่เคยประกาศความยิ่งใหญ่
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบั้นปลาย
...ความยิ่งใหญ่ของเต๋าจึงปรากฏขึ้นและคงอยู่


บทที่ 35 ลักษณะเด่นคือความสามัญ

ยึดมั่นในหนทางอันยิ่งใหญ่ (เต๋า)และโลกทั้งโลกก็จะดำเนินรอยตาม
ตามรอยนี้ก็จะนิราศจากภัย มีชีวิตอยู่ด้วยความรุ่งเรือง สันติสุข และมั่นคง
ดนตรีเสนาะอาหารโอชะ มักทำให้ผู้เดินทางต้องหยุดยั้ง แต่เต๋านั้นจืดชืดจนไร้รสชาติ
มองหาก็ไม่อาจเห็น ฟังดูก็ไม่ได้ยิน แต่เมื่อนำมาใช้ คุณประโยชน์นั้นจะไม่มีวันหมดสิ้น

บทที่ 36 ชนะแข็งด้วยอ่อน

ผู้ที่ถูกลดทอน จะต้องมีมากมาก่อน
ผู้ที่อ่อนแอ จะต้องเข้มแข็งมาก่อน
ผู้ที่ตกต่ำ จะต้องยิ่งใหญ่มาก่อน
ผู้ที่ได้รับ จะต้องให้มาก่อน
เหล่านี้คือนัยที่แสดงออกให้ปรากฏ
ความอ่อนละมุนมีชัยเหนือความแข็งกร้าว
ควรปล่อยให้มัจฉาอยู่ในสระลึกจะดีกว่า
เหมือนดั่งเก็บงำศัตราวุธทั้งมวล ของบ้านเมืองไว้มิให้ใครแลเห็น


บทที่ 37 ปกครองด้วยความเรียบง่าย
เต๋าไม่เคยกระทำ แม้กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงลง
หากกษัตริย์และเจ้านครสามารถรักษาเต๋าไว้ได้
โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยความต่อเนื่อง
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปและเกิดการกระทำต่างๆขึ้น
จงปล่อยให้ความเรียบง่ายแต่บรรพกาลเป็นผู้ควบคุมการกระทำ
ความเรียบง่ายแต่บรรพกาลนี้ไร้ชื่อ มันช่วยขจัดความอยากทั้งปวง
เมื่อขจัดความอยากได้ ความสงบย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นโลกย่อมถึงซึ่งสันติสุข


บทที่ 38 เมื่อเต๋าสูญหายไป

บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรมสูงส่ง มิได้รู้ว่าตนเองมีคุณธรรม
ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้มีคุณธรรม บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรมเพียงเล็กน้อย
พยายามดิ้นรนรักษาคุณธรรมของตนไว้ กลับต้องสูญเสียมันไป
ผู้สูงส่งด้วยคุณธรรมดูคล้ายกลับเฉื่อยชา แม้กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อยลง
ผู้ต่ำต้อยด้วยคุณธรรม ทำแล้วทำเล่า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่สำเร็จผล
ผู้มีเมตตายิ่งนั้น กระทำโดยปราศจากการกระตุ้นเตือน
ผู้มีความยุติธรรมยิ่งนั้นกระทำโดยการกระตุ้นเตือน
ผู้ยึดถือประเพณีอันเคร่งครัดกระทำโดยการกระตุ้นเตือน
ผู้ยึดถือประเพณีอันเคร่งครัดกระทำลงไป เมื่อมิได้รับการตอบสนองต่อผู้ใด
ก็หันมาใช้วิธีการบังคับ เนิ่นนานต่อมาผู้คนจึงค่อยๆ เชื่อถือตามอย่างประเพณี
ดังนั้นเมื่อเต๋าสาบสูญไป คุณธรรมก็เข้ามาแทนที่
เมื่อคุณธรรมสูญหายไป ความเมตตาก็เข้ามาแทนที่
เมื่อความเมตตาสูญหายไป ความยุติธรรมก็เข้ามาแทนที่
เมื่อความยุติธรรมสูญหายไปประเพณีก็เข้ามาแทนที่
ประเพณีนั้นคือความภักดีและความสัตย์ซื่อ ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในดวงใจ
และเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย ความหยั่งรู้อย่างกระท่อนกระแท่น
เป็นเพียงภาพลวงของเต๋า และเป็นจุดเริ่มต้นของความงมงาย
ดังนั้น มหาบุรุษย่อมธำรงความหนักแน่นไว้ มิกล้าเลินเล่อประมาท
อยู่ในความจริง ละทิ้งสิ่งมายา ท่านปฏิเสธสิ่งหลังและยอมรับในสิ่งแรก


บทที่ 39 ขอเป็นระฆังหิน

ในอดีตกาลสิ่งเหล่านี้ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
จากความเป็นหนึ่งเดียวฟ้าก็กระจ่างแจ้ง
จากความเป็นหนึ่งเดียวพื้นดินก็มั่นคง
จากความเป็นหนึ่งเดียวดวงจิตก็ศักดิ์สิทธิ์
จากความเป็นหนึ่งเดียว แหล่งน้ำก็เปี่ยมล้น
จากความเป็นหนึ่งเดียว สรรพสิ่งก็ดำเนินไปและเติบโต
จากความเป็นหนึ่งเดียวกษัตริย์จึงได้ปกครองไพร่ฟ้า
นี่คือสาเหตุของความเป็นไป
หากฟ้าไม่กระจ่างแจ้ง ก็จะพังทลาย
หากพื้นดินไม่มั่นคง ก็จะแตกร้าว
หากดวงจิตไร้ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะดับสูญ
หากแหล่งน้ำไม่เปี่ยมล้นก็จะเหือดแห้ง
หากสรรพสัตว์ไร้พลังแห่งชีวิตก็จะแตกดับ
หากกษัตริย์ไร้อำนาจก็จะถูกโค่นล้ม
...

ดังนั้นการเป็นผู้สูงส่งต้องพึ่งพาคนสามัญช่วยสนับสนุน
ความรุ่งโรจน์ต้องอาศัยความต่ำต้อยเป็นพื้นฐาน
นี่คือเหตุผลที่อธิบายว่า
ทำไม..กษัตริย์และผู้ปกครองจึงเรียกตัวเองว่า ผู้กำพร้า ผู้โดดเดี่ยว ผู้ไร้คุณค่า
นี่มิได้หมายความว่า ท่านถือเอาความต่ำต้อยเป็นรากฐานหรอกหรือ
สิ่งที่ผู้คนรังเกียจมิใช่ ความกำพร้า ความโดดเดี่ยว และความไร้คุณค่าหรอกหรือ
แม้กระนั้นกษัตริย์และผู้ปกครองก็ยังนำมันมาตั้งเป็นฉายาแห่งตน
เกียรติสูงคือความไร้เกียรติ
เพิ่มพูนด้วยการลดทอน
ลดทอนแต่กลับได้เพิ่มพูน
มิอาจทำตัวให้มีเสียงก้องกังวานเหมือนระฆังหยก
ในขณะที่ผู้อื่นมีเสียงเหมือนระฆังหิน


บทที่ 40 วัฏฏะ

การย้อนกลับคือการกระทำของเต๋า ความนุ่มนวลคือส่วนประกอบของเต๋า
สรรพสิ่งในโลกกำเนิดมาจากความมี และความมีกำเนิดมาจากความว่าง


บทที่ 41 ระดับสูง

เมื่อคนในระดับสูงได้รับฟังเต๋า ก็ปฏิบัติตามอย่างมานะ
เมื่อคนในระดับปานกลางได้รับฟังเต๋า บางครั้งก็เข้าใจบางครั้งก็ไม่เข้าใจ
เมื่อคนในระดับต่ำสุดได้รับฟังเต๋า ก็หัวเราะเยาะด้วยเสียงอันดัง
หากมิถูกหัวเราะเยาะก็คงจะมิใช่เต๋าแล้ว
ดังนั้นจึงมีคำกล่าวไว้ว่า เต๋าอันกระจ่างแจ้งคล้ายดั่งมืดมน
เต๋าอันรุดหน้าคล้ายดั่งถดถอย เต๋าอันราบรื่นคล้ายดั่งขรุขระ
สีขาวบริสุทธิ์คล้ายดั่งมืดดำ คุณความดีอันสูงสุดคล้ายดั่งต่ำต้อย
คุณความดีอันเลอเลิศคล้ายบกพร่อง คุณความดีอันหนักแน่นคล้ายเลื่อนลอย
ธรรมชาติอันง่ายๆคล้ายแปรเปลี่ยน รูปจัตุรัสที่ใหญ่สุดนั้นไม่มีมุม
ภาชนะที่ใหญ่สุดนั้นไม่เคยสร้างสำเร็จ เสียงดนตรีอันยิ่งใหญ่นั้นยากที่จะได้ยิน
ภาพอันยิ่งใหญ่นั้นไม่อาจมองเห็น เต๋าอันเคลือบคลุมซ่อนเร้นนั้นไร้ชื่อ
มีเพียงเต๋าเท่านั้นที่เสริมสร้างบำรุงเลี้ยง และให้ความสมบูรณ์แก่สรรพสิ่ง


บทที่ 42 คำสอนประจำใจ

เต๋าให้กำเนิดแก่หนึ่ง จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสรรพสิ่งในจักรวาล
จักรวาลที่ถูกสร้างสรรค์ ประกอบด้วย " หยัง " อยู่ด้านหน้า " หยิน " อยู่ด้านหลัง
สิ่งหนึ่งขาวสิ่งหนึ่งดำ สิ่งหนึ่งบวกสิ่งหนึ่งลบ ทั้งสองสิ่งผสมผสานกัน จนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
การเป็นผู้กำพร้า ผู้โดดเดี่ยว ผู้ไร้คุณค่า เป็นสิ่งที่ผู้คนหลีกเลี่ยงมากที่สุด
แม้กระนั้นบรรดากษัตริย์และ เจ้าครองนครกลับเรียกตนเองด้วยชื่อเหล่านั้น
ในบางครั้งมีบางสิ่งบางอย่างที่ได้รับคุณประโยชน์ เมื่อตัดทอนออกไปและได้รับทุกข์ภัยเมื่อเพิ่มพูนเข้ามา
บุคคลผู้ชมชอบในความรุนแรง จะสิ้นชีวิตลงด้วยความรุนแรง
มีบางคนได้สอนความจริงข้อนี้ไว้
ข้าพเจ้าก็ขอสอนเช่นนี้ด้วยและจะถือเอาเป็นคำสอนประจำใจ


บทที่ 43 การไม่กระทำ

สิ่งที่อ่อนที่สุดในโลกนี้ สามารถเจาะผ่านสิ่งที่แข็งที่สุด นั่นคือสิ่งที่ไร้รูป ย่อมผ่านทะลุสิ่งที่ไร้ช่องว่าง นี่เองข้าพเจ้าจึงทราบถึงคุณประโยชน์ของการไม่กระทำ และการสอนโดยไม่ใช้คำพูดคุณประโยชน์ของการไม่กระทำนั้น ย่อมไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ในจักรวาล

บทที่ 44 รู้จักพอ

ชื่อเสียงกับตัวเอง อย่างไหนน่าหวงแหนมากกว่ากัน ตัวเองกับทรัพย์สมบัติ อย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน รักษาชีวิตไว้ได้แต่สูญเสียทุกสิ่ง รักษาทุกสิ่งไว้ได้แต่สิ้นชีวิต อย่างไหนน่าเศร้าและเจ็บปวดมากกว่ากัน ความจริงมีอยู่ว่า ผู้พึงใจในชื่อเสียง ย่อมไม่ใยดีกับความยิ่งใหญ่ ผู้พึงใจจะมีมาก ย่อมละทิ้งความร่ำรวย ผู้ที่รู้จักเพียงพอ จะไม่พบกับความอัปยศ ผู้ที่รู้จักหยุดในเวลาที่เหมาะสม จะไม่ตกอยู่ในภยันตราย เขาจึงมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน

บทที่ 45 คล้าย

สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด คล้ายดังมีความบกพร่องอยู่ แต่คุณประโยชน์ของมันไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งที่เต็มเปี่ยมที่สุด คล้ายดังมีความว่างเปล่าอยู่ แต่คุณประโยชน์ของมันไม่มีที่สิ้นสุด
ที่ตรงที่สุดคล้ายดังคดงอ ที่ชาญฉลาดที่สุดคล้ายดังโง่เขลา ที่เปี่ยมด้วยโวหารคล้ายดังขัดข้องติดอ่าง เมื่อเคลื่อนไหวทำให้หายหนาว เมื่อหยุดนิ่งทำให้หายร้อน ผู้มีความนิ่งมีความสงบ จึงเป็นแบบอย่างอันเลอเลิศของจักรวาล




หมายเหตุ ปัจจุบัน คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” มีอิทธิพลต่อในทุกสังคมทั่วโลก ทั้งในด้านการเมืองการปกครอง กฎหมาย ธุรกิจ และการครองเรือน มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 250 สำนวน สำหรับ วิถีแห่งเต๋า ฉบับนี้เป็นคำแปลของคุณ พจนา จันทรสันติ ที่แปลจากภาษาอังกฤษผนวกกับความรู้ของผู้แปล ทำให้ได้ใจความสวยคม เข้าใจง่ายและอ่านรู้เรื่องที่สุด หนังสือวิถีแห่งเต๋าตอนนี้หาซื้อยากแล้วค่ะ โชคดี หากเจอใน pantown.com โดยคุณ: เซโร่ [23 พ.ค. 51 8:33] ได้กรุณารวบรวมมาโพสต์ไว้เพื่อประโยชน์แพร่หลาย ขอขอบคุณอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ค่ะ


credit : วิถีแห่งเต๋า แปลโดย พจนา จันทรสันติ / : pantown.com

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

ผู้ที่ยืนเขย่งบนปลายเท้าจะยืนได้ไม่มั่นคง (บทที่ 16 – 25)

ผู้ที่ยืนเขย่งบนปลายเท้าจะยืนได้ไม่มั่นคง (บทที่ 16 – 25)

สรรพสิ่งมากมายล้วนกำเนิดขึ้นและดำเนินไปตามวิถี…
...นักปกครองขาดศรัทธาในเต๋า ก็มักต้องการให้ประชาชนมาศรัทธาในตน
เมื่อประเทศชาติตกอยู่ในความยุ่งเหยิง คุณค่าของขุนนางผู้ภักดีก็เกิดขึ้น…
ยอมว่างเปล่าจึงเต็มได้ ยอมเก่าจึงกลับใหม่..ผู้มีน้อยก็จะได้รับ ผู้มีมากจะถูกลดทอน

… … … … …


บทที่ 16 สรรพสิ่งล้วนกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม

ครอบครองความเป็นสุญญตาไว้ รักษารากฐานแห่งความสงบไว้
สรรพสิ่งมากมายล้วนกำเนิดขึ้นและดำเนินไปตามวิถี
ข้าพเจ้าได้คอยเฝ้ามองสรรพสิ่ง กลับไปสู่ต้นกำเนิดเดิม เพื่อพักผ่อนอย่างสงบ
เหมือนกับพืชพันธุ์ ที่เติบโตผลิดอกออกผล แตกกิ่งและช่อใบมากมาย
ที่สุดก็ต้องกลับไปสู่รากฐานเดิม คือปฐพีที่ให้กำเนิด
การกลับไปสู่รากฐานเดิมที่ให้กำเนิด คือ ความสงบ เรียกว่ากลับไปสู่ธรรมชาติเดิมของตน
กลับไปสู่ธรรมชาติเดิมของตน ย่อมค้นพบกฎเกณฑ์อันไม่แปรเปลี่ยน
จึงเรียกได้ว่า เป็นผู้รู้แจ้ง หากไม่รู้กฎเกณฑ์อันไม่แปรเปลี่ยนนี้ ย่อมนำความเสื่อมสลายมาสู่ตน
ผู้ซึ่งรู้กฎเกณฑ์อันไม่แปรเปลี่ยนนี้ ย่อมมีความใจกว้าง เมื่อมีความใจกว้าง ย่อมมีความยุติธรรม
เมื่อมีความยุติธรรม ย่อมเป็นสากล เมื่อเป็นสากล ย่อมกลมกลืนกับธรรมชาติโดยไม่ขัดแย้ง
เมื่อกลมกลืนกับธรรมชาติ ย่อมกลมกลืนกับเต๋าด้วย
เมื่อกลมกลืนกับเต๋า ผู้นั้นก็เป็นอมตะ ตลอดชีวิตของท่านจะไม่มีภัยใดๆ มาแผ้วพานได้


บทที่ 17 ผู้ปกครองประเทศที่ดี

ผู้ปกครองที่ดีที่สุดนั้น ราษฎรเพียงแต่รู้ว่ามีเขาอยู่ ที่ดีรองลงมา ราษฎรรักและยกย่อง
ที่ดีรองลงมา ราษฎรกลัวเกรง รองลงมาเป็นอันดับสุดท้าย ราษฎรชิงชัง
เมื่อนักปกครองขาดศรัทธาในเต๋า ก็มักต้องการให้ประชาชนมาศรัทธาในตน
แต่สำหรับนักปกครองที่ยอดเยี่ยมนั้น เมื่อภารกิจได้สำเร็จลงแล้ว การงานได้ลุล่วงลงแล้ว
ราษฎรต่างพากันภาคภูมิใจและกู่ก้องว่า "การงานนั้นล้วนสำเร็จลงด้วยความสามารถของเรา"

บทที่ 18 เกิดขึ้นเพราะความเสื่อม

เมื่อสัจธรรมแห่งเต๋าเสื่อมโทรมลง ความถูกต้องและความดีงามก็เกิดขึ้น
เมื่อความรอบรู้และความเฉลียวฉลาดเกิดขึ้น ความหน้าไหว้หลังหลอกก็ติดตามมา
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติทั้งหก ไม่เป็นไปโดยปรกติสุข
ก็เกิด "บิดาใจดี" และ "บุตรกตัญญู" เมื่อประเทศชาติตกอยู่ในความยุ่งเหยิง
คุณค่าของขุนนางผู้ภักดีก็เกิดขึ้น

บทที่ 19 ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์

ละทิ้งความเฉียบแหลม ละเลยความรอบรู้ ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์อีกร้อยเท่า
ละทิ้งความถูกต้อง ละเลยความยุติธรรม ประชาชนก็จะปรองดองกันดุจเครือญาติ
ละทิ้งเล่ห์เหลี่ยม ละเลยผลประโยชน์ หัวขโมยก็จะหมดสิ้นไป สิ่งทั้งสามนี้ คือกิริยาอาการภายนอก
ที่เสแสร้งขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ ราษฎรต้องการพึ่งพาในการเป็นตัวของตัวเองอย่างง่ายๆ
สอดคล้องกับธรรมชาติดั้งเดิมเพื่อขจัดความเห็นแก่ตัว เพื่อตัดรากเหง้าแห่งความโลภ


บทที่ 20 ผู้อื่นกับตัวข้าพเจ้า

เลิกการศึกษาเล่าเรียนเสีย ปัญหามากมายก็จะสิ้นสุดลง
ระหว่าง " ใช่ " กับ " ไม่ใช่ " นั้น แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
ระหว่าง " ดี " กับ " ชั่ว " นั้น แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
สิ่งที่ผู้อื่นกลัวนั้น ก็มักทำให้เราต้องกลัวด้วย นี่เรียกว่าเป็น ความหลับในความตื่น
ผู้คนในโลกพากันยิ้มแย้มเริงร่า คล้ายกับกำลังร่วมอยู่ในงานเลี้ยงฉลอง
คล้ายกับกำลังนั่งอยู่บนหอสูงเพื่อชมความงามในฤดูใบไม้ผลิ มีแต่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่สงบเสงี่ยม
คล้ายกับผู้ตัดขาดจากความยินดียินร้ายทั้งปวง คล้ายกับทารกแรกเกิดที่ยังไม่สามารถแม้แต่จะยิ้ม
ไม่ผูกพันอยู่กับสิ่งใด คล้ายผู้พเนจรที่ไร้บ้านเรือนผู้คนในโลก แม้เมื่อมีทรัพย์มากพอแล้ว
ก็ยังเก็บงำสั่งสม มีแต่ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้สละละโดยสิ้นเชิง ดวงใจข้าพเจ้าคล้ายกับผู้โง่งม
ขุ่นมัวเคลือบคลุม ผู้อื่นเป็นผู้รู้ เฉียบแหลม ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่งมงายสับสน ผู้อื่นฉลาด
มั่นใจในตน ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ต่ำต้อย อดทนเหมือนท้องทะเล ล่องลอยไร้จุดหมาย
ผู้คนในโลกล้วนมีจุดมุ่งหมาย ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ดื้อดึงเซ่อซ่า
ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่แตกต่างจากคนอื่น เพราะได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยคุณค่าอันสูงส่ง จากมารดาแห่งสรรพสิ่ง

บทที่ 21 พลังแห่งเต๋า

รูปรอยแห่งคุณความดีอันยิ่งใหญ่ ล้วนถูกชักนำมาจากเต๋า สิ่งที่เรียกว่าเต๋านี้
เห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ เห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ สิ่งที่แฝงเร้นภายในคือ รูปที่ไร้รูป
เห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ สิ่งที่แฝงเร้นภายในคือ แก่นที่ไร้แก่น มืดมัว สลัวราง
สิ่งที่แฝงเร้นภายในคือ พลังแห่งชีวิต พลังแห่งชีวิตนี้มีอยู่จริง สิ่งที่แฝงเร้นนี้ปรากฏอยู่อย่างชัดแจ้ง
ตั้งแต่โบราณกาลจวบปัจจุบัน นามที่ไร้สำเนียงของเต๋ามิเคยถูกลบล้าง จากสิ่งนี้เองเราก็อาจรู้แจ้งในต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง เหตุใดข้าพเจ้าจึงรู้ซึ้งถึงต้นกำเนิดเดิม โดยอาศัยเต๋า

บทที่ 22 การไม่แก่งแย่งแข่งขัน

ยอมเป็นผู้ต่ำต้อยจึงรักษาตนไว้ได้ ยอมงอจึงกลับตรงได้ ยอมว่างเปล่าจึงเต็มได้ ยอมเก่าจึงกลับใหม่ผู้มีน้อยก็จะได้รับ ผู้มีมากจะถูกลดทอน ดังนั้นปราชญ์ย่อมรักษาความเป็นหนึ่งเดียวไว้

ท่านจึงกลายเป็นแบบอย่างของโลก ท่านมิได้แสดงตนให้ปรากฏ ความรุ่งโรจน์ของท่านกลับปรากฏขึ้น ท่านมิได้ผยองลำพอง ชื่อเสียงของท่านกลับลือเลื่อง ท่านมิได้โอ้อวดตน ประชาชนกลับไว้วางใจ ท่านมิได้ภาคภูมิใจ แต่กลับได้เป็นผู้นำของประชาชน ด้วยเหตุว่าท่านมิได้แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด

จึงไม่มีใครในโลกมาแข่งขันกับท่าน ตามที่โบราณได้กล่าวไว้ว่า " ยอมเป็นผู้ต่ำต้อยจึงรักษาตนไว้ได้ " มิอาจนับได้ว่าเป็นความจริงหรือดังนั้นปราชญ์จึงดำรงตนไว้ได้ และโลกทั้งโลกก็ให้ความเคารพ

บทที่ 23 เข้าร่วมกับเต๋า

การพูดมากนั้นขัดกับธรรมชาติ แม้แต่พายุจัดยังพัดไม่ถึงเช้า แม้แต่พายุฝนยังตกไม่ถึงวัน
ใครเล่าทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ คือ ธรรมชาติ แม้แต่ธรรมชาติยังไม่อาจทำสิ่งใดได้ยาวนาน
แล้วคนเล่าจะทำได้น้อยกว่าธรรมชาติอีกสักเพียงใด ดังนั้นผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งเต๋าก็จะได้ร่วมกับเต๋า ผู้ที่ดำเนินตามทางแห่งคุณความดีก็จะได้ร่วมกับคุณความดี ผู้ที่ละทิ้งหนทางแห่งเต๋า ก็จะหลงทางอยู่กับการละทิ้ง ผู้ที่เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า เต๋าก็ตอบสนอง ผู้ที่เข้าร่วมกับคุณความดี คุณความดีก็ตอบสนอง ผู้ที่เข้าร่วมกับการละทิ้ง การถูกละทิ้งก็ตอบสนอง
ผู้ที่ขาดศรัทธา จะสามารถทำให้ผู้อื่นเกิดความศรัทธาเชื่อถือในตนได้อย่างไร

บทที่ 24 กากเดนของคุณความดี

ผู้ที่ยืนเขย่งบนปลายเท้าจะยืนได้ไม่มั่นคง ผู้ที่เดินเร็วเกินไปจะเดินไม่ได้ดี ผู้ที่แสดงตนให้ปรากฏจะไม่เป็นที่รู้จัก ผู้ที่ยกย่องตนเองจะไม่มีใครเชื่อถือ ผู้ที่ลำพองจะไม่ได้เป็นหัวหน้าในหมู่คน สิ่งเหล่านี้ในทัศนะของเต๋าแล้ว ย่อมเรียกได้ว่า กากเดนและเนื้อร้ายของคุณความดี อันเป็นสิ่งที่พึงเหยียดหยาม ดังนั้นบุคคลผู้ยึดมั่นในหนทางแห่งเต๋า พึงหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้

บทที่ 25 ความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาล

ก่อนการดำรงอยู่ของฟ้าและดิน มีบางสิ่งบางอย่างมืดมัวเคลือบคลุม เงียบงัน โดดเดี่ยว อยู่เพียงลำพัง ไม่แปรเปลี่ยน เป็นอมตะหมุนเวียนไม่หยุดยั้ง มีค่าควรแก่การเป็นมารดาของสรรพสิ่ง ข้าพเจ้าไม่ทราบชื่อสิ่งนั้นแต่ถ้าถูกบังคับให้เรียก ก็จะเรียกว่า "เต๋า" และจะให้ชื่อว่า " ยิ่งใหญ่ " ยิ่งใหญ่หมายถึงความต่อเนื่อง ความต่อเนื่องหมายถึงความยาวไกล ความยาวไกลหมายถึงการกลับสู่ต้นกำเนิดเดิมดังนั้นเต๋าจึงยิ่งใหญ่ ฟ้าจึงยิ่งใหญ่ ดินจึงยิ่งใหญ่ ปราชญ์จึงยิ่งใหญ่ นี่คือความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาลและปราชญ์ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น คนทำตามกฎแห่งดิน ดินทำตามกฎแห่งฟ้า ฟ้าทำตามกฎแห่งเต๋าเต๋าคงอยู่และเป็นไปด้วยตนเอง


หมายเหตุ ปัจจุบัน คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” มีอิทธิพลต่อในทุกสังคมทั่วโลก ทั้งในด้านการเมืองการปกครอง กฎหมาย ธุรกิจ และการครองเรือน มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 250 สำนวน สำหรับ วิถีแห่งเต๋า ฉบับนี้เป็นคำแปลของคุณ พจนา จันทรสันติ ที่แปลจากภาษาอังกฤษผนวกกับความรู้ของผู้แปล ทำให้ได้ใจความสวยคม เข้าใจง่ายและอ่านรู้เรื่องที่สุด หนังสือวิถีแห่งเต๋าตอนนี้หาซื้อยากแล้วค่ะ โชคดี หากเจอใน pantown.com โดยคุณ: เซโร่ [23 พ.ค. 51 8:33] ได้กรุณารวบรวมมาโพสต์ไว้เพื่อประโยชน์แพร่หลาย ขอขอบคุณอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ค่ะ




credit : วิถีแห่งเต๋า แปลโดย พจนา จันทรสันติ
: pantown.com

เส้นบางๆ ระหว่างความรัก ความผูกพัน ..กับเจ้าชายน้อยและสุนัขป่า กับห้วงคำนึงถึงดอกกุหลาบ

จากเมล์ที่ได้รับมาอีกทอด(อีกทอดและอีกทอด...)
แต่ว่าให้แง่มุมที่น่ารักมากมาย ลองอ่านดู จะเป็นไร
บางที อาจตรงกับใจที่กำลังลังเลของใครบางคน
หรืออาจถูกใจใช่เลยสำหรับบางคนที่ยังสับสน เดี๋ยวอยากรัก เดี๊ยวอยากเลิก


ลองอ่านดู ว่าความรู้สึกตอนนี้ เรารัก หรือผูกพัน
หรืออยากรักแต่ไม่อยากผูกพัน หรืออยากผูกพันแต่ไม่อาจรักได้
ความรักของคนมีอยู่มากมายหลายร้อยเหตุผล
สุดแต่จะยกมาอ้างในอารมณ์ไหน
..วันนี้ ..
คุณอาจรักเขาจนหมดหัวใจ แต่แม้คุณเอง ก็คงไม่อาจบอกได้ว่า
...วันไหน หัวใจของคุณจะหมดรัก

ว่ากันว่า คนเรามักไม่ค่อยรู้ตัวว่าความรัก เข้ามาเมื่อไหร่
ดังนั้น หลาย ๆ คนจึงมักบอกว่า ไม่รู้รักเพราะอะไร
แต่พอถึงเวลาเลิกรัก เราจะรู้เสมอ
เพราะเราจะต้องหาเหตุผลมาบอกกับตัวเอง และคนที่วันหนึ่งเราเคยรักว่า

วันนี้ เราไม่รักเขาแล้วเพราะอะไร
ถามว่าก็ฉันไม่รักเขาอีกแล้ว ฉันผิดตรงไหน

ไม่.. คุณไม่ผิดเลย ไม่รักก็ไม่รัก จะผิดได้ยังไง
แต่อย่าลืมว่า คนที่คุณเคยรัก..เขาก็ไม่ผิดหมือนกัน


ก่อนจะบอกเลิกรักกับใคร ตรองให้ดี
แต่ตรองให้หนักกว่า ... ก่อนจะบอกรักใคร

แล้วความรักกับความผูกพัน ไปเกี่ยวข้องกันที่ตรงไหน
ลองอ่านดู อาจใช่หรือไม่ใช่ ... แต่ตรงใจฉันมากเลย

ความรัก..กับ ความผูกพัน หน้าตาคล้ายกัน ... เหมือนซ้าย-ขวา

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ ....

รู้สึกว่า “คิดถึง” แล้วมาหา คือ .... รัก

รู้สึกว่า “เคยมาหา” ก็เลยมาหา คือ .. ผูกพัน

รู้สึกว่า “หิว” แต่อยากรอ คือ .. รัก

รู้สึกว่า “อิ่มแล้ว” ... อยากเอามาฝาก คือ .. ผูกพัน

รู้สึกว่า .. อยากให้เวลากันและกัน คือ .... รัก

รู้สึกว่า .. อยากใช้เวลาด้วยกัน คือ .. ผูกพัน

รู้สึกว่า .. การที่เราหงุดหงิดคือทำให้อีกคนไม่สบายใจ คือ .. รัก

รู้สึกว่า .. การที่เราโกรธคือทำให้อีกคนสำนึกบ้าง คือ .. ผูกพัน

รู้สึกว่า ..... ไม่มีนาทีไหนไม่คิดถึง คือ .. รัก

รู้สึกว่า .. นาทีไหนที่ว่างจะคิดถึง คือ .... ผูกพัน

ขอบคุณเหลือเกิน "ความผูกพัน" .. ที่ทำให้รัก

ขอบคุณเหลือเกิน "รัก" ...ที่เป็นมากกว่า .. ความผูกพัน

เคยไหมรักใครคนหนึ่ง ด้วยความรู้สึกว่า

เคยผูกพันเหมือนเคยรักกัน แล้วพลัดพราก
ต้องมาตามหากันเป็นแรมปี

ถ้าเคยรู้สึกอย่างนี้ ยามที่มองแววตาใครคนนั้น
แล้วรู้สึกอยากอยู่ข้าง ๆ เพื่อคอยกางแขนปกป้องและดูแลไปตลอดชีวิต

ความรู้สึกนั้น เรียกว่า "รักและผูกพัน"
ความรู้สึกที่ ... มิอาจพรากจากกัน ได้อีก แม้เพียงหนึ่งเสี้ยววินาที

ลองหันไปมองคนข้าง ๆ แล้วถามตัวเองว่า เรารู้สึกกับความเพียงแค่รัก
หรืออยากผูกพันทั้งชีวิต เมื่อตอบตัวเองได้แล้ว จงรักเขาในแบบที่เขาเป็น
ผูกพันด้วยความรู้สึกทั้งปวงที่คุณมี และต้องไม่ลืมว่า
เราต้องรับผิดชอบกับทุกส่งที่เราผูกพันด้วย

เหมือนเจ้าชายน้อย เหมือนสุนัขป่า เหมือนดอกกุหลาบ ในบทที่ 21 ของวรรณกรรมในหัวใจฉัน
....
"มาเล่นกับฉันซิ" เจ้าชายน้อยชักชวน "ฉันกำลังเศร้าใจมาก…"
"ฉันเล่นกับเธอไม่ได้หรอก ฉันยังไม่ถูกทำให้เชื่อง" สุนัขป่าตอบ

"อา…ขอโทษ" เจ้าชายน้อยพูด แต่หลังจากคิดตริตรองอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็กล่าวต่อไปว่า

"ทำให้เชื่องหมายความว่ากระไรนะ?"
"เธอไม่ใช่คนที่นี่ เธอหาอะไรหรือ?" เขาถาม
"ฉันหาพวกคน" เจ้าชายน้อยตอบ "ทำให้เชื่องแปลว่าอะไรนะ?"
"พวกคนน่ะรึ" สุนัขป่ากล่าว "เขามีปืนและเขาล่าสัตว์ น่ารำคาญจะตาย
พวกเขาเลี้ยงไก่ด้วย ก็มีดีเพียงอย่างเดียวนี่แหละ เธอกำลังหาไก่รึเปล่า?"
"เปล่า ฉันกำลังหาเพื่อน ทำให้เชื่องแปลว่าอะไร?"
"เป็นสิ่งซึ่งมักถูกลืม" สุนัขป่ากล่าว "มันคือการสร้างความสัมพันธ์"
"ความสัมพันธ์ ?"
"แน่นอน"สุนัขป่ากล่าว

"สำหรับฉันเธอเป็นเพียงเด็กผู้ชายเล็ก ๆ คนหนึ่งซึ่งเหมือน ๆ กับเด็กชายคนอื่น ๆ อีกหมื่นคน
ฉันไม่ต้องการเธอ และเธอก็ไม่ต้องการฉันเช่นเดียวกัน ฉันก็เป็นเพียงสุนัขป่าธรรมดา ๆ ตัวหนึ่ง
เหมือนสุนัขป่าอื่น ๆ หมื่นตัว แต่ทว่าถ้าเมื่อใดเธอคุ้นเคยใกล้ชิดกับฉัน
เมื่อนั้นเราก็ต่างต้องการซึ่งกันและกัน เธอก็จะเป็นเด็กคนเดียวในโลกสำหรับฉัน
และฉันก็จะเป็นสุนัขป่าตัวเดียวในโลกสำหรับเธอด้วย…"

"ฉันเริ่มจะเข้าใจละ" เจ้าชายน้อยกล่าว
"มีดอกไม้อยู่ดอกหนึ่ง…ฉันคิดว่าเธอได้สร้างความสัมพันธ์กับฉัน…"
"ก็อาจเป็นไปได้ เราอาจมองดูโลกได้ต่าง ๆ กันไป"
"โอ…ไม่ใช่บนโลกนี้หรอก" เจ้าชายน้อยตอบ สุนัขป่ามีท่าทีแยบยล
"บนดาวดวงอื่นรึ?"
"ใช่" ....
...ถ้าเธอทำให้ฉันเชื่อง ชีวิตของฉันก็จะสดใสขึ้น
ฉันจะเรียนรู้จักฝีเท้าซึ่งผิดจากเสียงอื่นทั้งสิ้น เสียงฝีเท้าอื่นจะทำให้ฉันหลบหนีไปใต้ดิน
แต่ฝีเท้าของเธอจะเรียกฉันให้ออกมาจากโพรงดิน เช่นเดียวกับเสียงดนตรี
และดูนั่นซิ เธอเห็นไหม ที่นั่นทุ่งนาข้าวสาลี ฉันไม่กินขนมปังหรอก
ข้าวสาลีหามีประโยชน์ต่อฉันไม่ นาข้าวสาลีจึงมิได้ทำให้ฉันหวนระลึกถึงสิ่งใดเลย
และนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าเศร้า แต่เธอก็มีผมสีทอง
ฉะนั้นถ้าเธอจะก่อความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง ก็จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง
ข้าวสาลีสีเหลืองอร่ามทำให้นึกถึงเธอ และฉันชอบฟังเสียงลมพัดต้นข้าว…"
สุนัขป่านิ่งไปและมองดูเจ้าชายน้อยเป็นเวลานาน

"ได้โปรดเถิด…จงทำให้ฉันเชื่อง" เขากล่าว
"ฉันอยากจะทำเช่นนั้น" เจ้าชายน้อยตอบ "แต่ฉันไม่มีเวลามาก
ฉันมีเพื่อนมากมายที่จะต้องไปค้นหา และสิ่งต่าง ๆ มากมายที่จะต้องเรียนรู้อีก"

"เราจะรู้จักแต่ละสิ่งซึ่งเรามีความสัมพันธ์ด้วยเท่านั้น" สุนัขป่ากล่าว

"มนุษย์เขาไม่มีเวลาที่จะรู้จักสิ่งใดทั้งสิ้น เขาซื้อของสำเร็จรูปจากพ่อค้า
แต่เนื่องจากพ่อค้าขายเพื่อนยังไม่มีปรากฏ มนุษย์จึงยังไม่มีเพื่อน
ถ้าเธอต้องการเพื่อน เธอจึงหัดให้ฉันเชื่องสิ…"


"ต้องทำอย่างไรเล่า" เจ้าชายน้อยถาม
"เธอจะต้องมีความอดทน" สุนัขป่าตอบ "เธอจะต้องนั่งห่างจากฉันหน่อยในตอนแรก
อย่างนั้นแหละ นั่งบนหญ้า ฉันจะชายตามองดูเธอ และเธอก็อย่าพูดอะไรเลยนะ
เพราะการพูดคือที่มาของความเข้าใจผิด แล้วเธอก็เขยิบเข้ามาใกล้ ๆ ฉันมากขึ้นทุกวัน"

วันรุ่งขึ้นเจ้าชายน้อยก็กลับมาอีก
"เธอควรจะมาในเวลาเดียวกันเสมอ" สุนัขป่ากล่าว "เป็นต้นว่า ถ้าเธอเคยมาตอนบ่ายสี่โมง
ประมาณสักบ่ายสามโมงฉันก็เริ่มเป็นสุขแล้ว ยิ่งเวลาล่วงไปฉันก็เป็นสุขมากขึ้น
พอสี่โมงฉันก็จะรู้สึกตื่นเต้นและกระวนกระวาย ฉันจะรู้จักคุณค่าของความสุข….
แต่ถ้าเธอมาไม่เป็นเวลา ฉันจะไม่มีวันรู้ว่าเมื่อไรฉันควรจะเตรียมใจของฉันไว้…

ด้วยประการฉะนี้ เจ้าชายน้อยก็ได้หัดสุนัขป่าจนเชื่อง และเมื่อเวลาจากกันใกล้เข้ามา
"อา…ฉันจะร้องไห้" สุนัขป่ากล่าว
"เป็นความผิดของฉันน่ะเอง ฉันไม่อยากทำให้เธอไม่สบายใจ แต่เธอเองอยากให้ฉันหัดให้เชื่อง"
"ใช่แล้ว" สุนัขป่ากล่าว
"แต่แล้วเธอกลับจะร้องไห้" เจ้าชายน้อยติง
"แน่ละ"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอก็ไม่ได้อะไรเลย"

"ฉันได้สิ" สุนัขป่ากล่าว "ก็สีของข้าวสาลีไงล่ะ" แล้วเขากล่าวต่อไปว่า
"จงกลับไปดูกุหลาบเหล่านั้น เธอจะเข้าใจในที่สุดว่า ดอกกุหลาบของเธอมีอยู่ดอกเดียวในโลก
แล้วเธอกลับมาร่ำลาฉัน ฉันจะบอกความลับอย่างหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญแก่เธอ"

เจ้าชายน้อยกลับไปดูหมู่กุหลาบ "เธอช่างไม่เหมือนดอกกุหลาบของฉันเลย เธอยังไม่มีความหมาย
เพราะไม่มีใครมาสร้างความสัมพันธ์กับเธอ และเธอยังไม่เป็นของใคร
เธอเป็นเหมือนสุนัขป่าของฉันในตอนแรก ซึ่งเหมือน ๆ กับสุนัขป่าอื่น ๆ หมื่นตัว
แต่ฉันเป็นเพื่อนกับเขา เขาจึงกลายเป็นสุนัขป่าตัวเดียวในโลกสำหรับฉัน"

ฝ่ายหมู่กุหลาบดูรู้สึกอึดอัดใจ "เธอสวยอยู่หรอก แต่เธอไม่มีความหมายเลย"

เจ้าชายน้อยกล่าวสืบไปกับหมู่ดอกกุหลาบนั้น "ไม่มีใครยอมตายเพื่อเธอหรอก
แต่สำหรับดอกกุหลาบของฉัน แน่ล่ะ คนผ่านไปมาตามธรรมดาก็คิดว่าดอกกุหลาบนั้น
เหมือน ๆ กับพวกเธอ แต่ว่า ดอกกุหลาบดอกเดียวนั้นมีความสำคัญกว่าเธอทั้งหมด
เพราะเป็นดอกกุหลาบซึ่งฉันได้รดน้ำ เพราะว่าฉันได้ถนอมไว้ในฝาครอบ
และเพราะว่าเป็นดอกกุหลาบของฉัน ฉันจึงได้หาฉากมาบังลม ฉันได้ฆ่าตัวหนอน
ยกเว้นบางตัวซึ่งฉันปล่อยให้เป็นผีเสื้อ) ฉันจึงทนฟังเขาบ่น ฟังเขาโอ้อวด
แม้กระทั่งฟังเขานิ่งเงียบ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะว่าเป็นดอกกุหลาบของฉัน"

แล้วเขากลับมาหาสุนัขป่า "ลาก่อนนะ" เขากล่าว
"ลาก่อน" สุนัขป่าตอบ "นี่คือความลับของฉันมันแสนจะธรรมดา
เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา "

"สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา" เจ้าชายน้อยพูดตามเพื่อเป็นการเตือนความทรงจำ
"เวลาที่เธอเสียไปให้กับดอกกุหลาบของเธอ ทำให้ดอกกุหลาบนั้นมีค่ามากขึ้น ...
มนุษย์ลืมความจริงข้อนี้ "สุนัขป่ากล่าว "แต่เธอต้องไม่ลืมมัน
เธอจะต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วย เธอต้องรับผิดชอบดอกกุหลาบของเธอ…."


"ฉันต้องรับผิดชอบต่อดอกกุหลาบของฉัน….." เจ้าชายน้อยกล่าวซ้ำเพื่อให้หวนระลึกได้


ขอบคุณ เจ้าชายน้อย สำนวนแปล อริยา ไพฑูรย์

ผู้ที่ยึดมั่นในหนทางแห่งเต๋า ย่อมหลีกเลี่ยงความเปี่ยมล้น

เหตุเพราะฟ้าและดินมิได้ดำรงอยู่เพื่อตนเอง จึงอาจอยู่ได้คงทน
เหตุว่าท่านมิได้แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด คำติเตียนว่าร้ายจึงมิได้แผ้วพานท่าน
ถอนตัวออกเมื่อกิจการงานได้เสร็จสิ้นลง นี่คือวิถีทางแห่งสรวงสวรรค์

….. …. ….

ผู้ที่ยึดมั่นในหนทางแห่งเต๋า ย่อมหลีกเลี่ยงความเปี่ยมล้น
และเพราะการหลีกเลี่ยงจากความเปี่ยมล้นนี้เอง ย่อมทำให้รักษาตนไว้ได้
พ้นจากความเสื่อมโทรม และมิต้องแสวงหาสิ่งทดแทน
(บทที่ 6 – 15)



บทที่ 6 มารดาอันมหัศจรรย์

มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ เป็นมารดาอันมหัศจรรย์ จากทวาราแห่งมารดานี้เอง
ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน นานแสนนานสืบมา สิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่ มีคุณประโยชน์มากมาย
ใช้ได้มิรู้หมดสิ้น


บทที่ 7 มิได้อยู่เพื่อตนเอง

ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน เหตุเพราะฟ้าและดินมิได้ดำรงอยู่เพื่อตนเอง จึงอาจอยู่ได้คงทน ดังนั้นปราชญ์ย่อมตั้งตนอยู่รั้งท้าย และก็จะกลับกลายเป็นหน้าสุด ละเลยตนเอง แต่กลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี เพราะปราชญ์มิได้อยู่เพื่อตนเองหรือมิใช่ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความสมบูรณ์


บทที่ 8 ความดีอันสูงสุด

ความดีอันสูงสุดนั้นคล้ายกับน้ำ น้ำให้คุณแก่สรรพสิ่ง มิได้แย่งชิงสิ่งใด น้ำตั้งตนอยู่ในที่ต่ำอันทุกคนรังเกียจเหยียดหยาม ดังนั้นจึงนับว่าได้เข้าไปใกล้กับเต๋า ในการอยู่อาศัย ปราชญ์เลือกสถานที่อันควรในดวงใจ ท่านถือความสงบงัน ในความเป็นมิตร ท่านถือคุณความดี ในวาจา ท่านถือความจริงใจในการปกครอง ท่านถือความสงบเรียบร้อย ในกิจการงาน ท่านถือความสามารถ ในการกระทำ ท่านเลือกเวลาที่เหมาะสม เหตุว่าท่านมิได้แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด คำติเตียนว่าร้ายจึงมิได้แผ้วพานท่าน


บทที่ 9 สำรวมชีวิต

โก่งคันศรจนสุดล้า ย่อมมีเวลาที่มันจะคืนกลับ ลับดาบจนแหลมคม ย่อมมีเวลาที่มันจะทื่อเมื่อท่านมีทองและหยกอยู่เต็มห้อง ย่อมไม่อาจรักษาไว้ได้โดยปลอดภัย ภาคภูมิใจกับเกียรติยศและความมั่งคั่ง ย่อมโศกเศร้าเมื่อความตกต่ำมาถึง ถอนตัวออกเมื่อกิจการงานได้เสร็จสิ้นลง นี่คือวิถีทางแห่งสรวงสวรรค์

บทที่ 10 สู่สภาวะธรรม

รักษาดวงวิญญาณให้พ้นจากความมัวหมอง ทำจิตใจให้แน่วนิ่งเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่
หายใจ อย่างละเอียดอ่อนแผ่วเบา เหมือนลมหายใจของเด็กอ่อนได้หรือไม่ ชำระล้างญาณทัศนะให้หายมืดมัว จนอาจแลเห็นกระจ่างชัดได้หรือไม่มีความรักและปกครองอาณาจักร โดยไม่เข้าไปบังคับบัญชาได้หรือไม่ ติดต่อรับรู้ และเผชิญทุกข์สุข ด้วยความสงบนิ่งไม่ทุกข์ร้อนได้หรือไม่ แสวงหาความรู้แจ้ง เพื่อละทิ้งอวิชชาได้หรือไม่ ให้กำเนิด ให้การบำรุงเลี้ยง ให้กำเนิด แต่มิได้ถือตนเป็นเจ้าของ กระทำกิจ แต่มิได้ยกย่องตนเอง เป็นผู้นำในหมู่คน แต่มิได้เข้าไปบงการ เหล่านี้คือคุณความดีอันลึกล้ำยิ่ง


บทที่ 11 ความว่างเปล่า

ล้อรถนั้นประกอบด้วยไม้สามสิบซี่ รวมกันอยู่ที่แกน วงรอบนอกของล้อและไม้ทั้งสามสิบซี่นั้น คือ ความ "มี" ดุมล้อนั้นกลับกลวง คือ ความ "ว่าง" จากความว่างนี้เอง คุณประโยชน์ของล้อก็เกิดขึ้น ปั้นดินเหนียวขึ้นเป็นภาชนะ จากความว่างเปล่าของภาชนะนี้เอง คุณประโยชน์ของภาชนะก็เกิดขึ้น เราได้ใช้ประโยชน์จากความมี และได้รับคุณประโยชน์จากความว่าง


บทที่ 12 เปลือกกับแก่น

สีทั้งห้า ทำให้ดวงตาพร่ามัว เสียงทั้งห้า ทำให้โสตประสาทเลอะเลือน รสทั้งห้า ทำให้ลิ้นชาด้าน การพนันและการล่าสัตว์ ทำให้จิตใจของคนขุ่นหมอง ของมีราคาและหายาก ทำให้เกิดอันตรายแก่ความประพฤติของผู้คน ดังนั้นปราชญ์จึงกระทำการ เพียงเพื่อให้ท้องอิ่มเท่านั้น มิใช่เพื่อความสำราญของ ตา หู และลิ้น ท่านละเลยในรูปแบบอันเป็นเปลือก หันมาเอาใจใส่ในแก่นแท้

บทที่ 13 การยกย่องและการดูแคลน

เมื่อได้รับการยกย่องและการดูแคลน ย่อมทำให้ผู้คนหวาดผวา สิ่งที่เราชมชอบและสิ่งที่เรากลัวเกรง ย่อมอยู่ภายในตัวของเราเอง
เมื่อได้รับการยกย่อง และเมื่อได้รับการดูแคลน ย่อมทำให้ผู้คนหวาดผวา นี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ผู้ที่ได้รับการยกย่องจากเบื้องบน ย่อมตื่นเต้นเมื่อได้รับ และย่อมหวาดผวาเมื่อสูญเสียสิ่งที่เราชมชอบและสิ่งที่เรากลัวเกรง ย่อมอยู่ภายในตัวของเราเอง นี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เมื่อเราไม่นำพาต่อตัวตน มีอะไรที่เราจะต้องเกรงกลัวอีก ดังนั้น ผู้ที่ให้คุณค่าแก่โลกเทียบเท่ากับตน ย่อมได้รับความไว้วางใจให้ปกครองโลก และผู้ที่รักโลกเทียบเท่าตนย่อมได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลโลก

บทที่ 14 ตามรอยเต๋า

จ้องมอง แต่มิอาจเห็น นี่เรียกว่า ไร้รูป สดับฟัง แต่มิอาจได้ยิน นี่เรียกว่า ไร้เสียง ไขว่คว้า แต่มิอาจจับต้อง นี่เรียกว่า ไร้ตัวตน
สิ่งทั้งสามนี้อยู่เหนือคำอธิบายใดๆ ทั้งหมดนี้ประสานกลมกลืนกัน และกลายเป็นหนึ่งเดียว เมื่อปรากฏขึ้น ก็ปราศจากแสงสว่าง
เมื่อจางหายไป ก็ปราศจากความมืด เป็นรูปที่ไร้รูป เป็นตัวตนที่ว่าง มีความต่อเนื่องและไม่แปรผัน สิ่งนี้มิอาจตั้งนิยามให้ได้
หวนกลับไปสู่อาณาจักรแห่งความว่างเปล่า จึงเรียกว่า ความไร้ มีภาพพจน์แห่งความว่างเปล่า จึงเรียกว่า ความว่าง ตามติดไปเบื้องหน้า แต่มิอาจเห็นหน้า ติดตามไปเบื้องหลังแต่มิอาจเห็นหลังผู้ที่ปฏิบัติภารกิจในปัจจุบัน โดยยึดมั่นในหลักการแห่งเต๋าแต่โบราณกาล
ย่อมสามารถหยั่งรู้ถึงต้นกำเนิดเดิมนี่คือวิถีแห่งเต๋า

บทที่ 15 ผู้ชาญฉลาดในสมัยโบราณ

บุคคลผู้ชาญฉลาดแต่โบราณกาล เปี่ยมล้นไปด้วยปรีชาญาณ ล้ำลึกไปด้วยความรอบรู้ ลึกซึ้งจนมิอาจหยั่งถึง และด้วยมิอาจหยั่งถึงนี้เองจึงจำเป็นจะต้องบรรยายลักษณะดังนี้ มีความรอบคอบ คล้ายกับกำลังข้ามแม่น้ำที่แข็งตัวในฤดูหนาว มีความระมัดระวังคล้ายกับกำลังป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในทุกที่ มีความสำรวม คล้ายกำลังปฏิบัติตนเป็นอาคันตุกะ มีความอ่อนน้อม คล้ายกับหิมะที่เริ่มจะละลาย มีความเปิดเผยซื่อตรง คล้ายกับไม้ที่ยังไม่ได้แกะสลัก มีความว่าง คล้ายกับหุบเขา และโง่งม คล้ายกับสายน้ำอันขุ่นข้น
ใครจะสามารถสงบอยู่ได้ ภายในโลกอันสับสนคล้ายโคลนตมด้วยอาศัยความสงบนิ่งก็กลับกระจ่างชัดขึ้น ใครจะสามารถสงบอยู่ได้นาน จนอาจนำไปสู่การกลับฟื้นคืนชีวิต ผู้ที่ยึดมั่นในหนทางแห่งเต๋า ย่อมหลีกเลี่ยงความเปี่ยมล้น และเพราะการหลีกเลี่ยงจากความเปี่ยมล้นนี้เอง ย่อมทำให้รักษาตนไว้ได้ พ้นจากความเสื่อมโทรม และมิต้องแสวงหาสิ่งทดแทน


หมายเหตุ ปัจจุบัน คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” มีอิทธิพลต่อในทุกสังคมทั่วโลก ทั้งในด้านการเมืองการปกครอง กฎหมาย ธุรกิจ และการครองเรือน มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 250 สำนวน สำหรับ วิถีแห่งเต๋า ฉบับนี้เป็นคำแปลของคุณ พจนา จันทรสันติ ที่แปลจากภาษาอังกฤษผนวกกับความรู้ของผู้แปล ทำให้ได้ใจความสวยคม เข้าใจง่ายและอ่านรู้เรื่องที่สุด หนังสือวิถีแห่งเต๋าตอนนี้หาซื้อยากแล้วค่ะ โชคดี หากเจอใน pantown.com โดยคุณ: เซโร่ [23 พ.ค. 51 8:33] ได้กรุณารวบรวมมาโพสต์ไว้เพื่อประโยชน์แพร่หลาย ขอขอบคุณอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ค่ะ

วิถีแห่งเต๋า

เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ


บทที่ 1 – 5 ของคัมภีร์เต๋า

บอกกล่าวถึงเต๋าอันสูงสุด การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ การปกครองของปราชญ์ รูปลักษณ์แห่งเต๋า และประโยชน์ของสูบลม ล้วนแล้วแต่กล่าวถึงความว่างและความไม่มี ให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้ เหตุที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่สูญสลาย ในบทที่ 2 และในบทที่ 5 สูบลมมีประโยชน์ เพราะว่าง ยิ่งพูดมากยิ่งไร้ประโยชน์ พูดมากคำยิ่งเหน็ดเหนื่อย มิสู้เก็บคุณค่านั้นไว้แต่เพียงภายใน ซึ่งเป็นเรื่องที่จริงอย่างยิ่ง เพราะคำพูดมักจะเป็นบ่อเกิดของความเข้าใจผิด(เหมือนอย่างที่สุนัขจิ้งจอกพูดกับเจ้าชายน้อยในบทที่ 21)โดยมิต้องสงสัย

บทที่ 1 เต๋าอันสูงสุด

เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ ชื่อที่ตั้งให้กันได้ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง เต๋านั้นมิอาจอธิบายและมิอาจตั้งชื่อ เมื่อไร้ชื่อทำฉันใดจักให้ผู้อื่นรู้ ข้าพเจ้าขอเรียกสิ่งนั้นว่า " เต๋า " ไปพลางๆ เมื่อไร้นามไร้สภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าและดิน เมื่อมีนามมีสภาวะจึงเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง ดำรงตนอยู่ในความไร้สภาวะ จึงทราบบ่อเกิดแห่งจักรวาล ดำรงตนอยู่ในสภาวะ ย่อมแลเห็นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์ ทั้งความมีและความไร้ มีบ่อเกิดแห่งเดียวกัน แต่แตกต่างกันเมื่อปรากฏออก บ่อเกิดนั้นสุดแสนล้ำลึก ความลึกล้ำสุดแสนนั้น คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต


บทที่ 2 สิ่งต่างๆอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ

เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น มีกับไม่มี เกิดขึ้นด้วยการรับรู้ ยากกับง่าย เกิดขึ้นด้วยความรู้สึก ยาวกับสั้น เกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ สูงกับต่ำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง เสียงดนตรีกับเสียงสามัญ เกิดขึ้นด้วยการรับฟัง หน้ากับหลัง เกิดขึ้นด้วยการนึกคิด ดังนั้นปราชญ์ย่อม กระทำด้วยการไม่กระทำ เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้ เหตุที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่สูญสลาย


บทที่ 3 การปกครองของปราชญ์

มิได้ยกย่องคนฉลาด ประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของที่หายาก ประชาราษฎร์ก็จะไม่ลักขโมย ขจัดตัวตนแห่งความอยาก ดวงใจแห่งประชาราษฎร์ก็จะบริสุทธิ์ ดังนั้นปราชญ์ย่อมปกครองโดย ทำให้จิตใจของประชาราษฎร์ ว่าง สะอาด บำรุงเลี้ยงให้อิ่มหนำ ตัดทอนความทะยานอยาก เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย ความคิดและความปรารถนาของประชาราษฎร์ ก็จะถูกชะล้างให้บริสุทธิ์ คนฉ้อฉลก็มิอาจหาญ เข้ากระทำการทุจริต ปราชญ์ย่อมปกครอง โดยการไม่ปกครอง ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถูกปกครอง และดำเนินไปอย่างมีระเบียบ


บทที่ 4 รูปลักษณ์แห่งเต๋า

เต๋านั้นคือความเวิ้งว้าง แต่คุณประโยชน์ของเต๋ามิรู้สิ้นสุด คล้ายต้นกำเนิดของน้ำพุแห่งสรรพสิ่ง ลึกสุดหยั่งคาด เวียนวน ยุ่งเหยิง ซับซ้อน แผ่วเบา แจ่มกระจ่างดุจแก้วผลึก ใสสะอาดดุจน้ำอันสงบนิ่งข้าพเจ้ามิรู้ว่าเต๋ากำเนิดจากแห่งใด คล้ายกับดำรงอยู่ก่อนธรรมชาติ


บทที่ 5 ประโยชน์ของสูบลม

ฟ้าดินนั้นไร้เมตตาปฏิบัติคล้ายดั่งสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง ปราชญ์นั้นไร้เมตตาปฏิบัติคล้ายดั่งผู้คนเป็นหุ่นฟางแท้จริง ฟ้า ดิน และปราชญ์ มิได้ไร้เมตตา เมตตานั้นมีอยู่ เพียงแต่ไม่เข้าไปก้าวก่ายในสรรพสิ่งทำตนว่างเหมือนสูบลม มีความว่างและความไร้ ครั้นเคลื่อนไหวกลับให้พละกำลังยิ่งพูดมากยิ่งไร้ประโยชน์ พูดมากคำยิ่งเหน็ดเหนื่อย มิสู้เก็บคุณค่านั้นไว้แต่เพียงภายใน


หมายเหตุ ปัจจุบัน คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” มีอิทธิพลต่อในทุกสังคมทั่วโลก ทั้งในด้านการเมืองการปกครอง กฎหมาย ธุรกิจ และการครองเรือน มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 250 สำนวน สำหรับ วิถีแห่งเต๋า ฉบับนี้เป็นคำแปลของคุณ พจนา จันทรสันติ ที่แปลจากภาษาอังกฤษผนวกกับความรู้ของผู้แปล ทำให้ได้ใจความสวยคม เข้าใจง่ายและอ่านรู้เรื่องที่สุด หนังสือวิถีแห่งเต๋าตอนนี้หาซื้อยากแล้วค่ะ โชคดี หากเจอใน pantown.com โดยคุณ: เซโร่ [23 พ.ค. 51 8:33] ได้กรุณารวบรวมมาโพสต์ไว้เพื่อประโยชน์แพร่หลาย ขอขอบคุณอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ค่ะ

credit : วิถีแห่งเต๋า แปลโดย พจนา จันทรสันติ

The Curious Case of Benjamin Button



ช่วงประกาศผลรางวัลออสการ์ของทุกปี จะมีภาพยนตร์รางวัลของปีที่ผ่าน ๆ มาให้เราได้ติดตามเสมอ และThe Curious Case of Benjamin Button ก็แสนจะคุ้มค่ากับเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์

The Curious Case of Benjamin Button is a 2008 American fantasy-drama film directed by David Fincher. The screenplay by Eric Roth and Robin Swicord is loosely based on the 1922 short story of the same name by F. Scott Fitzgerald. The film stars Brad Pitt as a man who ages in reverse and Cate Blanchett as the love interest throughout his life. The film was released in the United States on December 25, 2008.
The film received thirteen Academy Award nominations, including Best Picture, Best Director, Best Actor for Pitt, and Best Supporting Actress for Taraji P. Henson. It won Oscars for Art Direction, Makeup, and Visual Effects.
From Wikipedia, the free encyclopedia



“My name is Benjamin Button, and I was born under unusual circumstances. While, everyone else was agin', I was gettin' younger... all alone.”

หนังเรื่องนี้บอกอะไรกับเรามากมาย ผ่านบทภาพยนตร์คม ๆ ทั้งในแบบภาษาอังกฤษต้นความเดิม และถอดความแล้วโดยนักแปลที่มีความเชี่ยวชาญ

อย่างน้อย หนังก็บอกเราว่า เวลาแห่งความสุขนั้นแสนสั้น และเมื่อมีความทุกข์เข้ามาผสมปนเป ความสุขก็ยิ่งหดเข้า สิ่งเดียวที่คุ้มค่า ก็คือการใช้เวลาอย่างมีความสุข กับคนที่เรารัก ทำงานที่เราอยากทำ พึงพอใจกับสิ่งที่เรามี ทำดีกับคนที่รักเรา เพื่อที่จะไม่ต้องเสียดายว่าทำไมหนอ เราถึงได้พลาดช่วงเวลาเหล่านั้นไป

นางเอกแสนสวยในหนังเรื่องนี้ เป็นนางเอกในหัวใจของฉัน สวย สง่างาม และอ่อนโยนหนักหนา ฉันชอบความน่ารักน่าเอ็นดูที่เธอแสดงตลอดทั้งเรื่อง จะมีนางเอกกี่คนกัน ที่เล่นได้สวยงาม ในบทของคน ๆ เดียวตั้งแต่วัยรุ่น สาวสะพรั่ง จนแก่เฒ่า ฉันชอบสายตาของเธอ ตอนที่มองตามพระเอกของเรา เดินจากไปในเช้าวันหนึ่ง แม้รู้อยู่เต็มหัวใจ ว่าเขาคงไม่กลับมาอีก แต่คงเพราะความเข้าใจ ที่อาจจะมากกว่ารัก และเป็นสิ่งที่ผู้ชายทั้งโลกนี้โหยหาจากหญิงคนรัก (แบบว่า คุณไม่ต้องรักผมให้มากหรอก แค่เข้าใจผมก็พอ) สายตาที่ทอดมองตั้งแต่ เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ต จนประตูปิดลับไปจากสายตา บอกได้อย่างชัดเจนกว่าการเอื้อนเอ่ยเป็นไหน ๆ ว่าเธอปวดใจเพียงใด



แต่นั่นยังไม่สะเทือนใจมากพอเท่ากับการที่หลังจาก 13 ปีผ่านไป พระเอกของเรา ซึ่งกลายเป็นหนุ่มน้อยได้ย้อนกลับมาอย่างไม่คาดฝันในค่ำคืนหนึ่ง ที่นางเอกซึ่งขณะนั้น งดงามตามวัยกลางคน และพร้อมพรั่งท่ามกลางลูกศิษย์ลูกหาและครอบครัวอบอุ่นอันประกอบด้วยพ่อแม่ลูกสาว(ของเขาเอง)หลังจากอึ้งอยู่พักเล็ก ๆ นางเอกก็ถามเบนจามินว่า กลับมาทำไม

... จากนั้น เราก็ได้รู้ว่า ความรักที่แท้นั้น อยู่เหนือกาลเวลา
ความรักที่ก่อกำเนิดจากภายในนั้น ย่อมไม่ถูกลวงตาไปตามรูปลักษณ์ภายนอก

ย้อนไปถึงครั้งแรกของเบนจามินกับเดซี่ ประโยคเด็ดของทั้งสองในคืนแรกของกันและกัน
เมื่อประตูห้องปิดลง
Daisy: Sleep with me.
Benjamin : Absolutely

เฮ้อออออ....

ช่วงท้ายของหนังซึ่งได้ใจฉันไปเต็ม ๆ ก็คือ ตอนที่นางเอกไปอยู่กับเบนจามินในช่วงท้ายของชีวิต
หนังบอกเราว่า สาระสำคัญของชีวิตคนคนหนึ่ง จริงแท้ที่ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 และขันธ์ 5 นั้น
แต่ที่จริงยิ่งกว่าก็คือ การดูแลเอาใจใส่ในทุกช่วงตอนของชีวิต
ทั้งชีวิตของเรา ของคนที่รักเราและคนที่เรารัก
เหมือนอย่างที่เดซี่รำพึงถึงวันสุดท้ายของเบนจามิน
.. And in the spring, 2003, he looked at me. And I knew, that he knew, who I was. And then he closed his eyes, as if to go to sleep.



ตอนที่นางเอกของเราประสบอุบัติเหตุจนทำให้เต้นบัลเล่ต์ไม่ได้อีก
พระเอกรุดแล่นไปเยี่ยมทันที และไม่ยอมจากไปแม้นางเอกจะอับอายและรับไม่ได้กับการบาดเจ็บของตัวเอง ในขณะที่เดซี่ กลัวไม่สวยนาสายตาของเบนจามิน เขากลับคิดว่า ถ้าเขาไม่มา ใครจะดูและเธอ และหากว่าอุบัติเหตุนั้น เกิดกับเขา เธอก็จะต้องทำเช่นเดียวกัน และไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเธอไว้ได้ นอกจากความห่วงใยแบบออกนอกหน้าที่เบนจามินมีต่อเดซี่แล้ว หนังยังบอกว่าเรา ความห่วงหาเอื้ออาทรระหว่างกันนั้น ไม่ต้องเห็นหน้า หรือส่งเสียง ก็สัมผัสได้ เบนจามินโดนเดซี่ผู้ยับเยินจากอุบัติเหตุรถยนต์ไล่ให้ไปให้พ้นหน้า เธอไม่ได้รำคาญ เกลียดชังหรือเบื่อหน่ายเขา ฉันเข้าใจว่าเธอคงอับอาย และด้วยอารมณ์ศิลปินสาวสวยที่กำลังโด่งดัง ทำให้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ยากเกินกว่าจะยอมรับได้ในเวลาสั้น ๆ แต่เบนจามินก็ห่วงใยลึกซึ้งเกินจากไป ...เข้าใจแล้วล่ะ ไอ้คำกล่าวที่ว่า ไม่ได้เห็นหน้า แค่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี อืมมมม์... หลงรักเบนจามินไปเลย



หลังจากที่นางเอกหายจากอาการบาดเจ็บ การตัดสินใจอยู่ด้วยกันในช่วงชีวิตนั้น น่ารักและถูกใจฉันเป็นที่สุด (อะไรจะดีไปกว่าการได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ และอยู่กับคนที่เรารักตลอดเวลา..) ในห้วงเวลานั้น เบนจามินบอกกับเดซี่ว่า เห็นมั้ยล่ะ ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุจะไม่เกิดขึ้น แต่คุณก็ต้องหยุดเต้นอยู่ดี โชคดีแค่ไหน ที่คุณได้เลิกเต้นและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คำพูดราว ๆ นี้นะ จำได้ไม่ค่อยชัวร์ มัวแต่มองภาพน่ารัก ๆ ที่หนังถ่ายทอดออกมาให้ดู (ประโยคนี้ ต้องระมัดระวังในการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ เช่น ทำไมล่ะ เห็นชั้นแก่เกินเต้นแล้วเหรอจ๊ะ เป็นต้น)



ฉันชอบฉากที่สองหนุ่มสาวตื่นขึ้นมาบนเตียงแบบมีมุ้งครอบ
เดซี่จ้องหน้าเบนจามินแบบรักสุดหัวใจ
แล้วพูดกับเขา You're so young. ..
เบนจามินจ้องตาแล้วตอบ... Only on the outside
พอนางเอกบอกว่า Would you still love me if I were old and saggy?
เขาจึงย้อนถามเธอทันที Would you still love me if I were young and had acne? When I'm afraid of what's under the bed? Or if I end up wetting the bed?



วันหนึ่งที่อากาศสดใส เดซี่บอกกับเบนจามินว่า ฉันท้อง เบนจามิน อึ้งไป ฉากนี้สะเทือนใจฉันไปถึงไหน ๆ ก็นะ ถ้าเรารู้ว่าตัวเราเจ็บไข้ได้ป่วย แปลกประหลาดและดำรงชีวิตยากเย็นยังไง แล้วถ้ามีลูก และลูกต้องเป็นอย่างเราล่ะ แต่นางเอกผู้มาดมั่นของฉันก็ไม่กังวล แถมยังบอกว่า ไม่เป็นไร ฉันเลี้ยงเด็ก 2 คนได้ เป็นไงล่ะ ถึงจะต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมด้วยก็ตาม
ที่รักของฉัน เธออย่ากังวลให้มากนักเลยเพราะ ... Loving you is worth everything to me... โอยยยยย ซึ้งที่สุด...



หนังเรื่องนี้ บอกเล่ามากมายถึงสาระของการมีชีวิต การกระทำและการแสดงออกคนที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน
และวันที่พ่อของเบนจามิน นำเขามาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านพักคนชรา คงเป็นวันที่เลวร้ายไม่อาจลืมที่สุดในชีวิตของมิสเตอร์บัตต้อน ผู้ร่ำรวยเช่นกัน แต่ในวาระเดียวกันนั้น เบนจามินน้อย ที่มีกำเนิดผิดปกติ ก็เป็นที่รักของควินนีย์ หญิงสาวเจ้าของบ้านพักคนชรา ผู้ปรารถนาจับใจที่จะได้ทารกน้อยมาเลี้ยงดูภายหลังจากที่เธอแต่งงานมานาน แต่ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เบนจามินเติบโตขึ้น อย่างงดงามและไม่ผิดแปลก จะมีก็แต่หนูน้อยเดซี่ (ผู้ซึ่งอายุน้อยกว่า 2-3 ปีและมาเยี่ยมคุณยายของเธอเป็นประจำตอนปิดเทอม) ผู้มองทะลุถึงหัวใจอันซุกซนที่ซ่อนอยู่ ภายใต้เนื้อหนังเหี่ยวย่นของเด็กชายเบนจามิน



เราอาจคิดง่าย ๆ ได้ว่า เบนจามินนั้น เติบโตขึ้น ในบ้านพักคนชรา
สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความแก่ เจ็บ และตาย อีกทั้งมารดาของเขาก็ตระหนักและทำใจแล้วตั้งแต่แรกว่า ความตายจะมาเยือนเบนจามินได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ความรักและปรารถนาดีที่เธอมอบให้เขา เท่าที่แม่ผู้หนึ่งจะให้กับลูกได้จึงเป็นความรักแบบไม่คาดหวังและไม่ปรารถนาสิ่งใดตอบแทน เมื่อเด็กชายน้อยในร่างชราเหี่ยวย่น เติบโตขึ้น ท่ามกลางสัจธรรมดังกล่าว รวมทั้งการกำเนิดของทารกน้อยจากครรภ์ของแม่ผู้เลี้ยงดูเขามา เบนจามินจึงคิดได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะออกไปเผชิญโลกนี้ ในขณะที่ยังมีเรี่ยวแรงอยู่ เพราะไม่รู้การพรุ่งจะมาถึงหรือไม่ และก่อนที่จะดับไปตามวาระ เขาจึงออกเดินทาง

เบนจามินโชคดีนักหนา เขาได้พบผู้คนมากมายที่เป็นทั้งเพื่อน เจ้านาย สมาชิกในบ้านคนชรา
หญิงชราผู้สวมแหวนเพชรและแต่งกายงดงามอยู่เสมอที่สอนเขาเล่นเปียโน
โดยบอกว่าอย่าไปกังวลกับตัวโน้ต (อืมมม์ ทำไมครูตอนประถมของฉันไม่เป็นอย่างนี้บ้างหนอ..)
และกล่าวประโยคเด็ด(อีกหนึ่งประโยค) กับเบนจามินในตอนหนึ่งที่เขารำพึงถึงความตายว่า
We’re meant to lose the people we love. How else are we supposed to know how important they are?

ชายชราที่ถูกฟ้าผ่า 7 ครั้ง แต่ยังเล่าให้ใครต่อใครฟังอยู่เสมอ
Did I ever tell you I been struck by lightning seven times? Once when I was repairing a leak on the roof.Once I was just crossing the road to get the mail.Once, I was walking my dog down the road...
เห็นมั้ย ฉันยังไม่ตายเลย

คนเหล่านี้ ล้วนเป็นครูของชีวิต และเมื่อเขาเดินทางกลับมาที่บ้าน
It's a funny thing about comin' home. Looks the same, smells the same, feels the same. You'll realize what's changed is you.
แสดงถึงใจที่ปิดกว้างและวิธีมองโลกในแบบที่โลกเป็นอยู่ และไม่ได้นำตัวเองเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง

แม้ในที่สุด... บิดาบังเกิดเกล้า ... ของเขาเอง Mr.Thomas Button นักธุรกิจใหญ่ในวงการกระดุม หนังไม่ได้บอกเราตรง ๆ ว่า เบนจามินคิดอะไร หรือคิดอย่างไร่ เมื่อทราบว่าชายบุคลิกดีและมีฐานะที่พาเขาไปดื่มเหล้าในวันแรกของการลิ้มรสชีวิตที่คนหนุ่มเขาทำกันนั้น คือบิดาของเขาเอง ไม่มีคำกล่าวโทษ หรือการแสดงความเสียใจ น้อยใจใด ๆ หลุดจากปากของเบนจามิน ฉันคิดว่า อาจจะเป็นเพราะสายตาวิงวอนของผู้เป็นพ่อ ที่ถ่ายทอดถึงความรัก ความรู้สึกผิด และความหวัง ซึ่งนั่นมันคงจะตอบคำถามของเขาได้หมด ถ้าหากมีนะ อีกอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะความรักที่มากมาย ซึ่งเราได้รับจากผู้เลี้ยงดูเข้ามาแต่วัยเยาว์ การปลูกฝังวิถีอ่อนดยนและปลงต่อโลกภายในบ้านพักคนชรา ซึ่งความแก่ เจ็บ และตายเวียนมาให้เห็นไม่เว้นวันก็เป็นได้



ในขณะเดียวกัน นับตั้งแต่ทราบความจริง เขาก็ได้ทำหน้าที่ดูแล ใครที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ต้องจำได้ถึงฉากที่เขาพาบิดาซึ่งป่วยหนัก ไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น … จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเต็ม ๆ ตาแบบนั้น ในสถานที่อย่างนั้นและที่สำคัญ อยู่กับคนที่เรารักที่สุด ฉันว่านะ ต่อให้เอาเงินมากองแบบให้เลือกกรอกจำนวนตัวเลขได้ตามใจ จะมีกี่คนที่จะยอมทิ้งโอกาสในการดูพระอาทิตย์ขึ้น ... ฉันยังสงสัย คำว่าตื้นตัน ยังเหมือนจะน้อยเกินไป

หนังเศร้าแต่เปี่ยมสุขอย่างน่ามหัศจรรย์เรื่องนี้ นอกจากจะยืนยันถึงความไม่เที่ยงทั้งหลาย และเราควรอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้ว ยังตอกย้ำยืนยันถึงการคิดดี ทำดี แล้วจะมีความสุขใจจากเรื่อง ดี ๆ คนดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

จริงอยู่ กำเนิดที่แตกต่างเป็นสิ่งที่เราไม่อาจเลี่ยง หรือเลือกได้ แต่การดำเนินชีวิต วิธีคิดและทัศนคต่างหาก ที่จะทำให้เรายืนได้อย่างมั่นคงในพื้นที่กว้างใหญ่ของโลก
เบนจามินอาจดูโชคร้าย เกี่ยวกับโรคภัยที่เขาประสบ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความรักที่บริสุทธิ์จากมารดา และสิ่งแวดล้อมที่อบอุ่น และเมตตาปราณี ได้ทำให้หัวใจของเขาอ่อนโยนและนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ แม้ตอนที่มารดาผู้เลี้ยงเขามาคลอดบุตรสาวของเธอเอง ก็ไม่ได้ทำให้เบนจามินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่หากแต่เขาคิดว่า ... เขาควรจะไปผจญโลกได้แล้ว

อีกประโยคเด็ด จากจดหมายของเบนจามิน ถึงลูกสาวของเขา
For what it's worth: it's never too late or, in my case, too early to be whoever you want to be. There's no time limit, stop whenever you want. You can change or stay the same, there are no rules to this thing. We can make the best or the worst of it. I hope you make the best of it. And I hope you see things that startle you. I hope you feel things you never felt before. I hope you meet people with a different point of view. I hope you live a life you're proud of. If you find that you're not, I hope you have the strength to start all over again.

เพราะฉันเชื่อและศรัทธาในมหัศจรรย์ของการให้ ฉันจึงรักหนังเรื่องนี้..หมดหัวใจ
จงเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ใช้เวลากับปัจจุบันอย่างคุ้มค่า และทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนให้บทเรียนที่มีค่ากับเรา

หนังเรื่องนี้บอกฉันว่า จงดีใจที่พบว่าตื่นนอนเช้าและยังหายใจอยู่ พร้อมทั้งขอบคุณปัจจุบัน ที่ทำให้เราได้ทำในสิ่งที่รัก อยู่กับคนที่รัก จนเมื่อวันหนึ่งอีกไม่นานมาถึง เราจะได้แยกย้ายกันไปตามวิถีทาง โดยไม่หวนเสียดายเวลาที่ผ่านมา

คนเราอาจมีความวิตก กังวล หวาดกลัวได้ร้อยแปดเรื่อ หนึ่งในนั้น ก็คือกลัวตาย จริง ๆ แล้ว เราอาจจะไม่ได้กลัวความตายซะทีเดียวหรอก แต่เรากลัวสิ่งที่ความตายนำมาสู่ ..ใช่ เราไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน และที่สำคัญ เราจะไม่ได้อยู่กับคนที่เรารักอีกต่อไป

เราอาจสร้างนาฬิกาให้เข็มยาวและเข็มสั้นเดินถอยหลังได้ แต่เราก็ไม่สามารถย้อนเวลาได้อยู่ดี จงมีความสุขกับปัจจุบันให้คุ้มค่า เพื่อไม่ต้องเสียดาย เมื่อเวลาผ่านไป