วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

The Curious Case of Benjamin Button



ช่วงประกาศผลรางวัลออสการ์ของทุกปี จะมีภาพยนตร์รางวัลของปีที่ผ่าน ๆ มาให้เราได้ติดตามเสมอ และThe Curious Case of Benjamin Button ก็แสนจะคุ้มค่ากับเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์

The Curious Case of Benjamin Button is a 2008 American fantasy-drama film directed by David Fincher. The screenplay by Eric Roth and Robin Swicord is loosely based on the 1922 short story of the same name by F. Scott Fitzgerald. The film stars Brad Pitt as a man who ages in reverse and Cate Blanchett as the love interest throughout his life. The film was released in the United States on December 25, 2008.
The film received thirteen Academy Award nominations, including Best Picture, Best Director, Best Actor for Pitt, and Best Supporting Actress for Taraji P. Henson. It won Oscars for Art Direction, Makeup, and Visual Effects.
From Wikipedia, the free encyclopedia



“My name is Benjamin Button, and I was born under unusual circumstances. While, everyone else was agin', I was gettin' younger... all alone.”

หนังเรื่องนี้บอกอะไรกับเรามากมาย ผ่านบทภาพยนตร์คม ๆ ทั้งในแบบภาษาอังกฤษต้นความเดิม และถอดความแล้วโดยนักแปลที่มีความเชี่ยวชาญ

อย่างน้อย หนังก็บอกเราว่า เวลาแห่งความสุขนั้นแสนสั้น และเมื่อมีความทุกข์เข้ามาผสมปนเป ความสุขก็ยิ่งหดเข้า สิ่งเดียวที่คุ้มค่า ก็คือการใช้เวลาอย่างมีความสุข กับคนที่เรารัก ทำงานที่เราอยากทำ พึงพอใจกับสิ่งที่เรามี ทำดีกับคนที่รักเรา เพื่อที่จะไม่ต้องเสียดายว่าทำไมหนอ เราถึงได้พลาดช่วงเวลาเหล่านั้นไป

นางเอกแสนสวยในหนังเรื่องนี้ เป็นนางเอกในหัวใจของฉัน สวย สง่างาม และอ่อนโยนหนักหนา ฉันชอบความน่ารักน่าเอ็นดูที่เธอแสดงตลอดทั้งเรื่อง จะมีนางเอกกี่คนกัน ที่เล่นได้สวยงาม ในบทของคน ๆ เดียวตั้งแต่วัยรุ่น สาวสะพรั่ง จนแก่เฒ่า ฉันชอบสายตาของเธอ ตอนที่มองตามพระเอกของเรา เดินจากไปในเช้าวันหนึ่ง แม้รู้อยู่เต็มหัวใจ ว่าเขาคงไม่กลับมาอีก แต่คงเพราะความเข้าใจ ที่อาจจะมากกว่ารัก และเป็นสิ่งที่ผู้ชายทั้งโลกนี้โหยหาจากหญิงคนรัก (แบบว่า คุณไม่ต้องรักผมให้มากหรอก แค่เข้าใจผมก็พอ) สายตาที่ทอดมองตั้งแต่ เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ต จนประตูปิดลับไปจากสายตา บอกได้อย่างชัดเจนกว่าการเอื้อนเอ่ยเป็นไหน ๆ ว่าเธอปวดใจเพียงใด



แต่นั่นยังไม่สะเทือนใจมากพอเท่ากับการที่หลังจาก 13 ปีผ่านไป พระเอกของเรา ซึ่งกลายเป็นหนุ่มน้อยได้ย้อนกลับมาอย่างไม่คาดฝันในค่ำคืนหนึ่ง ที่นางเอกซึ่งขณะนั้น งดงามตามวัยกลางคน และพร้อมพรั่งท่ามกลางลูกศิษย์ลูกหาและครอบครัวอบอุ่นอันประกอบด้วยพ่อแม่ลูกสาว(ของเขาเอง)หลังจากอึ้งอยู่พักเล็ก ๆ นางเอกก็ถามเบนจามินว่า กลับมาทำไม

... จากนั้น เราก็ได้รู้ว่า ความรักที่แท้นั้น อยู่เหนือกาลเวลา
ความรักที่ก่อกำเนิดจากภายในนั้น ย่อมไม่ถูกลวงตาไปตามรูปลักษณ์ภายนอก

ย้อนไปถึงครั้งแรกของเบนจามินกับเดซี่ ประโยคเด็ดของทั้งสองในคืนแรกของกันและกัน
เมื่อประตูห้องปิดลง
Daisy: Sleep with me.
Benjamin : Absolutely

เฮ้อออออ....

ช่วงท้ายของหนังซึ่งได้ใจฉันไปเต็ม ๆ ก็คือ ตอนที่นางเอกไปอยู่กับเบนจามินในช่วงท้ายของชีวิต
หนังบอกเราว่า สาระสำคัญของชีวิตคนคนหนึ่ง จริงแท้ที่ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 และขันธ์ 5 นั้น
แต่ที่จริงยิ่งกว่าก็คือ การดูแลเอาใจใส่ในทุกช่วงตอนของชีวิต
ทั้งชีวิตของเรา ของคนที่รักเราและคนที่เรารัก
เหมือนอย่างที่เดซี่รำพึงถึงวันสุดท้ายของเบนจามิน
.. And in the spring, 2003, he looked at me. And I knew, that he knew, who I was. And then he closed his eyes, as if to go to sleep.



ตอนที่นางเอกของเราประสบอุบัติเหตุจนทำให้เต้นบัลเล่ต์ไม่ได้อีก
พระเอกรุดแล่นไปเยี่ยมทันที และไม่ยอมจากไปแม้นางเอกจะอับอายและรับไม่ได้กับการบาดเจ็บของตัวเอง ในขณะที่เดซี่ กลัวไม่สวยนาสายตาของเบนจามิน เขากลับคิดว่า ถ้าเขาไม่มา ใครจะดูและเธอ และหากว่าอุบัติเหตุนั้น เกิดกับเขา เธอก็จะต้องทำเช่นเดียวกัน และไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเธอไว้ได้ นอกจากความห่วงใยแบบออกนอกหน้าที่เบนจามินมีต่อเดซี่แล้ว หนังยังบอกว่าเรา ความห่วงหาเอื้ออาทรระหว่างกันนั้น ไม่ต้องเห็นหน้า หรือส่งเสียง ก็สัมผัสได้ เบนจามินโดนเดซี่ผู้ยับเยินจากอุบัติเหตุรถยนต์ไล่ให้ไปให้พ้นหน้า เธอไม่ได้รำคาญ เกลียดชังหรือเบื่อหน่ายเขา ฉันเข้าใจว่าเธอคงอับอาย และด้วยอารมณ์ศิลปินสาวสวยที่กำลังโด่งดัง ทำให้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ยากเกินกว่าจะยอมรับได้ในเวลาสั้น ๆ แต่เบนจามินก็ห่วงใยลึกซึ้งเกินจากไป ...เข้าใจแล้วล่ะ ไอ้คำกล่าวที่ว่า ไม่ได้เห็นหน้า แค่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี อืมมมม์... หลงรักเบนจามินไปเลย



หลังจากที่นางเอกหายจากอาการบาดเจ็บ การตัดสินใจอยู่ด้วยกันในช่วงชีวิตนั้น น่ารักและถูกใจฉันเป็นที่สุด (อะไรจะดีไปกว่าการได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ และอยู่กับคนที่เรารักตลอดเวลา..) ในห้วงเวลานั้น เบนจามินบอกกับเดซี่ว่า เห็นมั้ยล่ะ ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุจะไม่เกิดขึ้น แต่คุณก็ต้องหยุดเต้นอยู่ดี โชคดีแค่ไหน ที่คุณได้เลิกเต้นและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คำพูดราว ๆ นี้นะ จำได้ไม่ค่อยชัวร์ มัวแต่มองภาพน่ารัก ๆ ที่หนังถ่ายทอดออกมาให้ดู (ประโยคนี้ ต้องระมัดระวังในการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ เช่น ทำไมล่ะ เห็นชั้นแก่เกินเต้นแล้วเหรอจ๊ะ เป็นต้น)



ฉันชอบฉากที่สองหนุ่มสาวตื่นขึ้นมาบนเตียงแบบมีมุ้งครอบ
เดซี่จ้องหน้าเบนจามินแบบรักสุดหัวใจ
แล้วพูดกับเขา You're so young. ..
เบนจามินจ้องตาแล้วตอบ... Only on the outside
พอนางเอกบอกว่า Would you still love me if I were old and saggy?
เขาจึงย้อนถามเธอทันที Would you still love me if I were young and had acne? When I'm afraid of what's under the bed? Or if I end up wetting the bed?



วันหนึ่งที่อากาศสดใส เดซี่บอกกับเบนจามินว่า ฉันท้อง เบนจามิน อึ้งไป ฉากนี้สะเทือนใจฉันไปถึงไหน ๆ ก็นะ ถ้าเรารู้ว่าตัวเราเจ็บไข้ได้ป่วย แปลกประหลาดและดำรงชีวิตยากเย็นยังไง แล้วถ้ามีลูก และลูกต้องเป็นอย่างเราล่ะ แต่นางเอกผู้มาดมั่นของฉันก็ไม่กังวล แถมยังบอกว่า ไม่เป็นไร ฉันเลี้ยงเด็ก 2 คนได้ เป็นไงล่ะ ถึงจะต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมด้วยก็ตาม
ที่รักของฉัน เธออย่ากังวลให้มากนักเลยเพราะ ... Loving you is worth everything to me... โอยยยยย ซึ้งที่สุด...



หนังเรื่องนี้ บอกเล่ามากมายถึงสาระของการมีชีวิต การกระทำและการแสดงออกคนที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน
และวันที่พ่อของเบนจามิน นำเขามาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านพักคนชรา คงเป็นวันที่เลวร้ายไม่อาจลืมที่สุดในชีวิตของมิสเตอร์บัตต้อน ผู้ร่ำรวยเช่นกัน แต่ในวาระเดียวกันนั้น เบนจามินน้อย ที่มีกำเนิดผิดปกติ ก็เป็นที่รักของควินนีย์ หญิงสาวเจ้าของบ้านพักคนชรา ผู้ปรารถนาจับใจที่จะได้ทารกน้อยมาเลี้ยงดูภายหลังจากที่เธอแต่งงานมานาน แต่ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เบนจามินเติบโตขึ้น อย่างงดงามและไม่ผิดแปลก จะมีก็แต่หนูน้อยเดซี่ (ผู้ซึ่งอายุน้อยกว่า 2-3 ปีและมาเยี่ยมคุณยายของเธอเป็นประจำตอนปิดเทอม) ผู้มองทะลุถึงหัวใจอันซุกซนที่ซ่อนอยู่ ภายใต้เนื้อหนังเหี่ยวย่นของเด็กชายเบนจามิน



เราอาจคิดง่าย ๆ ได้ว่า เบนจามินนั้น เติบโตขึ้น ในบ้านพักคนชรา
สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความแก่ เจ็บ และตาย อีกทั้งมารดาของเขาก็ตระหนักและทำใจแล้วตั้งแต่แรกว่า ความตายจะมาเยือนเบนจามินได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ความรักและปรารถนาดีที่เธอมอบให้เขา เท่าที่แม่ผู้หนึ่งจะให้กับลูกได้จึงเป็นความรักแบบไม่คาดหวังและไม่ปรารถนาสิ่งใดตอบแทน เมื่อเด็กชายน้อยในร่างชราเหี่ยวย่น เติบโตขึ้น ท่ามกลางสัจธรรมดังกล่าว รวมทั้งการกำเนิดของทารกน้อยจากครรภ์ของแม่ผู้เลี้ยงดูเขามา เบนจามินจึงคิดได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะออกไปเผชิญโลกนี้ ในขณะที่ยังมีเรี่ยวแรงอยู่ เพราะไม่รู้การพรุ่งจะมาถึงหรือไม่ และก่อนที่จะดับไปตามวาระ เขาจึงออกเดินทาง

เบนจามินโชคดีนักหนา เขาได้พบผู้คนมากมายที่เป็นทั้งเพื่อน เจ้านาย สมาชิกในบ้านคนชรา
หญิงชราผู้สวมแหวนเพชรและแต่งกายงดงามอยู่เสมอที่สอนเขาเล่นเปียโน
โดยบอกว่าอย่าไปกังวลกับตัวโน้ต (อืมมม์ ทำไมครูตอนประถมของฉันไม่เป็นอย่างนี้บ้างหนอ..)
และกล่าวประโยคเด็ด(อีกหนึ่งประโยค) กับเบนจามินในตอนหนึ่งที่เขารำพึงถึงความตายว่า
We’re meant to lose the people we love. How else are we supposed to know how important they are?

ชายชราที่ถูกฟ้าผ่า 7 ครั้ง แต่ยังเล่าให้ใครต่อใครฟังอยู่เสมอ
Did I ever tell you I been struck by lightning seven times? Once when I was repairing a leak on the roof.Once I was just crossing the road to get the mail.Once, I was walking my dog down the road...
เห็นมั้ย ฉันยังไม่ตายเลย

คนเหล่านี้ ล้วนเป็นครูของชีวิต และเมื่อเขาเดินทางกลับมาที่บ้าน
It's a funny thing about comin' home. Looks the same, smells the same, feels the same. You'll realize what's changed is you.
แสดงถึงใจที่ปิดกว้างและวิธีมองโลกในแบบที่โลกเป็นอยู่ และไม่ได้นำตัวเองเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง

แม้ในที่สุด... บิดาบังเกิดเกล้า ... ของเขาเอง Mr.Thomas Button นักธุรกิจใหญ่ในวงการกระดุม หนังไม่ได้บอกเราตรง ๆ ว่า เบนจามินคิดอะไร หรือคิดอย่างไร่ เมื่อทราบว่าชายบุคลิกดีและมีฐานะที่พาเขาไปดื่มเหล้าในวันแรกของการลิ้มรสชีวิตที่คนหนุ่มเขาทำกันนั้น คือบิดาของเขาเอง ไม่มีคำกล่าวโทษ หรือการแสดงความเสียใจ น้อยใจใด ๆ หลุดจากปากของเบนจามิน ฉันคิดว่า อาจจะเป็นเพราะสายตาวิงวอนของผู้เป็นพ่อ ที่ถ่ายทอดถึงความรัก ความรู้สึกผิด และความหวัง ซึ่งนั่นมันคงจะตอบคำถามของเขาได้หมด ถ้าหากมีนะ อีกอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะความรักที่มากมาย ซึ่งเราได้รับจากผู้เลี้ยงดูเข้ามาแต่วัยเยาว์ การปลูกฝังวิถีอ่อนดยนและปลงต่อโลกภายในบ้านพักคนชรา ซึ่งความแก่ เจ็บ และตายเวียนมาให้เห็นไม่เว้นวันก็เป็นได้



ในขณะเดียวกัน นับตั้งแต่ทราบความจริง เขาก็ได้ทำหน้าที่ดูแล ใครที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ต้องจำได้ถึงฉากที่เขาพาบิดาซึ่งป่วยหนัก ไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น … จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเต็ม ๆ ตาแบบนั้น ในสถานที่อย่างนั้นและที่สำคัญ อยู่กับคนที่เรารักที่สุด ฉันว่านะ ต่อให้เอาเงินมากองแบบให้เลือกกรอกจำนวนตัวเลขได้ตามใจ จะมีกี่คนที่จะยอมทิ้งโอกาสในการดูพระอาทิตย์ขึ้น ... ฉันยังสงสัย คำว่าตื้นตัน ยังเหมือนจะน้อยเกินไป

หนังเศร้าแต่เปี่ยมสุขอย่างน่ามหัศจรรย์เรื่องนี้ นอกจากจะยืนยันถึงความไม่เที่ยงทั้งหลาย และเราควรอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้ว ยังตอกย้ำยืนยันถึงการคิดดี ทำดี แล้วจะมีความสุขใจจากเรื่อง ดี ๆ คนดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

จริงอยู่ กำเนิดที่แตกต่างเป็นสิ่งที่เราไม่อาจเลี่ยง หรือเลือกได้ แต่การดำเนินชีวิต วิธีคิดและทัศนคต่างหาก ที่จะทำให้เรายืนได้อย่างมั่นคงในพื้นที่กว้างใหญ่ของโลก
เบนจามินอาจดูโชคร้าย เกี่ยวกับโรคภัยที่เขาประสบ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความรักที่บริสุทธิ์จากมารดา และสิ่งแวดล้อมที่อบอุ่น และเมตตาปราณี ได้ทำให้หัวใจของเขาอ่อนโยนและนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ แม้ตอนที่มารดาผู้เลี้ยงเขามาคลอดบุตรสาวของเธอเอง ก็ไม่ได้ทำให้เบนจามินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่หากแต่เขาคิดว่า ... เขาควรจะไปผจญโลกได้แล้ว

อีกประโยคเด็ด จากจดหมายของเบนจามิน ถึงลูกสาวของเขา
For what it's worth: it's never too late or, in my case, too early to be whoever you want to be. There's no time limit, stop whenever you want. You can change or stay the same, there are no rules to this thing. We can make the best or the worst of it. I hope you make the best of it. And I hope you see things that startle you. I hope you feel things you never felt before. I hope you meet people with a different point of view. I hope you live a life you're proud of. If you find that you're not, I hope you have the strength to start all over again.

เพราะฉันเชื่อและศรัทธาในมหัศจรรย์ของการให้ ฉันจึงรักหนังเรื่องนี้..หมดหัวใจ
จงเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ใช้เวลากับปัจจุบันอย่างคุ้มค่า และทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนให้บทเรียนที่มีค่ากับเรา

หนังเรื่องนี้บอกฉันว่า จงดีใจที่พบว่าตื่นนอนเช้าและยังหายใจอยู่ พร้อมทั้งขอบคุณปัจจุบัน ที่ทำให้เราได้ทำในสิ่งที่รัก อยู่กับคนที่รัก จนเมื่อวันหนึ่งอีกไม่นานมาถึง เราจะได้แยกย้ายกันไปตามวิถีทาง โดยไม่หวนเสียดายเวลาที่ผ่านมา

คนเราอาจมีความวิตก กังวล หวาดกลัวได้ร้อยแปดเรื่อ หนึ่งในนั้น ก็คือกลัวตาย จริง ๆ แล้ว เราอาจจะไม่ได้กลัวความตายซะทีเดียวหรอก แต่เรากลัวสิ่งที่ความตายนำมาสู่ ..ใช่ เราไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน และที่สำคัญ เราจะไม่ได้อยู่กับคนที่เรารักอีกต่อไป

เราอาจสร้างนาฬิกาให้เข็มยาวและเข็มสั้นเดินถอยหลังได้ แต่เราก็ไม่สามารถย้อนเวลาได้อยู่ดี จงมีความสุขกับปัจจุบันให้คุ้มค่า เพื่อไม่ต้องเสียดาย เมื่อเวลาผ่านไป